อาการผิดปกติของพวงมาลัย
1. พวงมาลัยเอียง
อาการพวงมาลัยเอียงกับพวงมาลัยดึงไปทางซ้ายหรือทางขวานั้นไม่เหมือนกัน พวงมาลัยเอียงหรือไม่ตรง หมายถึง การที่ผู้ขับขี่ขับรถให้วิ่งตรงไปข้างหน้าแต่วงของพวงมาลัยที่เราจับอยู่นั้นมันไม่ตรง ตำแหน่ง คือเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง (ไม่ตรงกลาง) แต่รถนั้นจะไม่มีการดึงไปข้างใดข้างหนึ่ง เพราะถ้ามีการดึงเราจะขืนทำให้ดูเหมือนพวงมาลัยเอียง
สาเหตุ
- อาจเกิดจากการเปลี่ยนอะไหล่ช่วงล่างบางชิ้น แม้ว่าจะมีตั้งศูนย์แล้วก็ตามบางครั้งพวงมาลัยอาจไม่ตรงได้
- เกิดจากการถอดใส่พวงมาลัย แล้วใส่กลับไม่ตรงตำแหน่ง
- เกิดจากการตั้งศูนย์ไม่ดีพอและตั้งพวงมาลัยไม่ตรง
- เกิดจากการทำให้รถสูงขึ้นหรือต่ำลง (Camber เปลี่ยน)
การแก้ไข
- นำรถไปให้ร้านตั้งศูนย์ตรวจสอบและตั้งพวงมาลัยให้ใหม่ เสียค่าตั้งประมาณ 400 บาท ถ้าใช้เครื่องตั้งศูนย์ตรวจสอบและตั้งพวงมาลัยอย่างดีอาจมีราคาถึง 600 บาทได้
- ถอดแล้วใส่ให้ตรง
2. พวงมาลัยดึงไปทางใดทางหนึ่ง
อาการพวงมาลัยดึงไปทางใดทางหนึ่ง เราจะรู้สึกว่าเราต้องพยายามขืนพวงมาลัยในการขับเล็กน้อย ถ้ามีอาการมากบางครั้งจะรู้สึกเมื่อยมือได้
อาการดึงนี้ถ้าอยากทดสอบต้องหาถนนที่เรียบไม่เอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง ดังนั้นถ้าผู้ใช้รถไม่มีความชำนาญอาจทำให้เข้าใจผิดได้ว่ารถนั้นวิ่งกินทาง เช่น ถนนบางเส้น มันเอียงไปทางซ้าย ดังนั้นถ้าเราปล่อยมือสักครู่ 2-5 วินาที (ปกติขับรถห้ามปล่อย) รถก็จะวิ่งไปทางซ้าย ซึ่งถ้าวิ่งในถนนที่ไม่เอียง รถก็จะวิ่งตรง ฉะนั้นควรลองวิ่งดูหลาย ๆ ถนนว่าเป็นอย่างไร เพราะความเอียงของถนนนั้นมีผลกับทิศทางการวิ่งของรถอย่างมากและไม่ควรจะทำบ่อย หรือคอยจับผิดรถของตัวเองเกินไป เพราะการขับรถปล่อยมือนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
สาเหตุ
- ศูนย์ของล้อไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นมุมแคมเบอร์ มุมโท ซึ่งจะทำให้รถนั้นวิ่งเอียงได้
- เกิดจากการใช้งานปกติหรือช่วงล่างเสื่อมสภาพ และไม่เคยตรวจเช็คศูนย์ล้อเลย
- เกิดจากการกระแทกของล้อหรือของช่วงล่าง (ช่วงล่างคดงอ ไม่ได้ศูนย์)
- เกิดจากการเปลี่ยนยางใหม่ ซึ่งยาง บางรุ่นหรือบางยี่ห้อจะดึงไปด้านหนึ่ง โดยเฉพาะด้านซ้าย มียางหลายรุ่น ซึ่งผู้ทดสอบ ได้พิสูจน์มาแล้วว่า เป็นเช่นนั้นจริง
- โครงสร้างของรถเสียศูนย์เนื่องจากการชนหรือรถคว่ำมาก่อน
การแก้ไข
จากสาเหตุโดยรวมนั้น วิธีการแก้ไขจะอยู่ที่การตั้งศูนย์เป็นหลัก ดังนั้นถ้าเกิด อาการรถดึงไปทางซ้ายหรือทางขวาก็ให้ไปที่ร้านตั้งศูนย์แก้ไขอาการให้ ซึ่งรถยนต์ปัจจุบันก็ไม่ค่อยจะให้แก้ไขปรับตั้งศูนย์ล้อได้มากนัก บางครั้งต้องแก้ไขดัดแปลงโดยช่างผู้ชำนาญโดยเฉพาะ เพราะบางร้านจะทำได้แค่ตั้งศูนย์ให้ได้ตรงตามสเปก ซึ่งบางครั้งไม่สามารถแก้ปัญหาได้ รถบางคันก็ตั้งแก้ไขจนสุดตัว ตั้งแล้วหรือเปลี่ยนนอตตัวตั้งแบบพิเศษรถก็ยังดึงอยู่ อย่างนี้บางครั้งก็ต้องอาศัยการดัดคอม้าช่วย ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายสูง และก็รู้สึกเสียดายรถที่ชิ้นส่วนบางชิ้นต้องถูกดัดแก้ไข ราคาค่าตั้งศูนย์ก็ประมาณ 300-400 บาท แต่ถ้าเป็นการดัดคอม้าจะอยู่ที่ประมาณ 800-1,000 บาท
3. พวงมาลัยสั่น
อาการพวงมาลัยสั่นหลายคนอาจจะเคยเจออาการนี้แล้ว เช่น พวงมาลัยสั่นที่ความเร็วใดความเร็วหนึ่ง แล้วเมื่อเลยความเร็วนั้นไปการสั่นที่ว่านั้นลดลงมากหรือหายไปเลย หรืออีกอย่าง คือ อาการที่เมื่อความเร็วมากขึ้นอาการสั่นจะมากขึ้นเรื่อย ๆ
สาเหตุ
- ล้อและยางไม่มีความสมดุล ทำให้สั่นที่ความเร็วใดความเร็วหนึ่งได้ หรือถ้ามากก็จะ สั่นตลอด
- ยางเสื่อม บวม การใส่ยางเข้ากับกระทะล้อไม่ดีพอทำให้แกว่ง หรือสะบัดได้
- ชิ้นส่วนช่วงล่างมีการหลวม เช่น ลูกหมากคันชักต่าง ๆ หลวม
- กระทะล้อมีการคด ถ้ามากจะสั่นสะท้านตลอด
การแก้ไข
- ถ้าเป็นกรณีมีการสั่นเล็กน้อย และช่วงล่างไม่มีเสียงดังหรือสั่นที่ความเร็วใดความเร็วหนึ่ง ควรให้ช่างถ่วงล้อใหม่ถอดล้อออกมาถ่วง ราคา 60 - 80 บาทต่อวง หรือถ้าต้องการถ่วงแบบประชิดหรือถ่วงจี้ ราคาอยู่ที่ 150 บาท/วง
- ถ้ายางบวมหรือโครงสร้างเสีย ต้องเปลี่ยนยางก่อน แต่ถ้าเป็นการถอดใส่ยางใหม่พร้อมถ่วงก็สามารถแก้ปัญหาได้สำหรับบางกรณี ซึ่งช่างถ่วงจะรู้ว่าควรจะถอดใส่ยางใหม่หรือไม่ ราคา ก็พอ ๆ กับการถ่วง คือ 80 - 100บาท
- การถ่วงล้อนั้นไม่แก้ปัญหาได้ในกรณีที่ช่วงล่างเสื่อมสภาพหรือหลวม ดังนั้นจึงต้องแก้ไขระบบช่วงล่างเสียก่อน ซึ่งช่างช่วงล่างจะทราบดีว่าชิ้นส่วนไหนที่มีผลกับการสั่น เพราะถ้าไม่แก้ไขก่อน แต่ทำการถ่วงล้อไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์
- กระทะล้อคดสามารถส่งซ่อมได้ ถ้าดัดคดอย่างเดียวราคา 300 บาท/วง หรือถ้าซ่อมทำสีด้วยราคาอยู่ที่ 400 - 600บาท แล้วแต่สภาพ
**หมายเหตุ** การถ่วงจี้นั้นถ้ามีการถอดล้ออีกครั้งจะต้องทำเครื่องหมายตำแหน่งล้อ นอตล้อให้ดี เพราะถ้าลืมการถ่วงนั้นก็ไม่มีประโยชน์ หรือเสียเงินฟรีนั่นเอง
ดังนั้นถ้าผู้ใช้รถพบอาการดังกล่าวข้างต้น ควรรีบแก้ไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการรถดึงไปทางใดทางหนึ่งมาก ๆ หรือเกิดอาการสั่นที่พวงมาลัยมาก เพราะถ้าปล่อยไว้นาน จะทำให้ชิ้นส่วนอื่น ๆ เสียตามไปด้วย เช่น ยาง หรือระบบช่วงล่าง
ข้อมูลจาก
www.toyota.co.thเรียบเรียงโดย เกียรติสุดา ถาวรศักดิ์