ผมมีนิทานนึงจะมาเล่าครับ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วนานมาร่วมเกิน 7 ปีเห็นจะได้
ณ เมืองใหญ่เมืองนึง มีกลุ่มคนกำลังนั่งรวมกลุ่มกัน คุยในสิ่งที่ตัวเองชอบอยู่ ซึ่งเป็นสินค้ามีคุณภาพมาจากแดนไกล มีคนเอามาขาย แต่พอสุดท้ายคนขายก็เลิกขายปิดตัวเองลง เดือดร้อนคนที่ มีของอยู่ต้องประกาศขอความช่วยเหลือกันให้วุ่น บางคนรู้นี่ รู้นู่น รู้นั้น ก็ออกมาช่วยเหลือกันด้วยจิตใจที่บริสุทธิ จนเกิดความรักไคร่กลมเกรียว สุดท้ายเหล่าช่างที่มีความสามารถในการสร้างบ้าน ก็ออกไปสร้างศาลา เพื่อที่จะให้เหล่า เพื่อนๆพี่ๆน้าๆอาๆลุงๆ ที่รักได้มี สถานที่ คุยกันพบปะกันอย่างสะดวกมาขึ้น โดย อาจจะทำมาอย่างง่ายๆ แต่ก็ใช้ได้ดีในช่วงนั้น...
ต่อมา วันนึง ข่าวการรวมกลุ่มกันเริ่มกระจายออกไปยังต่างเมือง เริ่มมีคนมา ขอความช่วยเหลือกกันมากขึ้น มีการแลกเปลี่ยนสิ่งดีๆให้กันอยู่เสมอๆ คนที่ เคยอยู่ใน ศาลา อันเดิมก็เริ่มรู้สึกว่า มันแคบไปแล้วแฮะ จึงได้ออกมาสร้างเมืองใ้หม่ มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมเพรียง และยังตั้ง ผู้ตรวจการเมืองขึ้นมาทำหน้าที่ในการดูแล ทั้งมาจากการอาสา การร่วมมือกัน ก็เป็นเมืองที่สงบสุข
แต่ก็เป็นธรรมดาของเมืองใหญ่ เมืองมีคนเยอะ มีทั้งประชากร ของตัวเอง มีทั้งคนที่เข้ามาใหม่ประสงค์ดีบ้างไม่ดีบ้างบางคนเป็นขโมย เป็นโจร เป็นนักเลง ก็มีการจัดการ ดูแลไปตามระเบียบที่สร้างขึ้นมาโดยคร่าวๆ บางคนที่เข้ามาก็ เป็น ช่างในสาขาต่างๆ เป็น นักวิชาการ เป็นคนที่มีความรู้ด้านต่างๆ นักแสดง เข้ามาร่วมด้วยใจที่รู้ว่า ทุกคนมีสิ่งยึ่ดเหนี่ยว บางๆเอาไว้แม้จะมองไม่เห็นว่ามันคืออะไร เช่นกันเมื่อเมือง ใหญ่ขึ้น ก็ต้องมีผู้ตรวจการเมืองที่ มากขึ้น อาจมาจากการไหว้วานมาจะการเป็นเพื่อนสนิท จนบางทีขนาด ผู้ตรวจการณ์เองยังไม่รู้ว่าใครเป็นใครบ้าง ใครมีอำนาจเพียงใด มีทั้งที่ดูแลประจำและ คนที่นานๆจะเข้ามาบ้าง ก็ด้วยภาระกิจส่วนตัว
และก็ยังเป็นธรรมดาอีกของเมืองใหญ่ ที่จะต้องมีการรวมกลุ่มคนที่ เป็นแรงงานในการทำงานต่างๆ ในการช่วยดูแลคนที่จะมาป่วนเมือง(ได้แค่โทรเรียก 191 ให้ เขามาเก็บไปโทรติดบ่้างไม่ติดบ้าง) แบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม แต่ทุกคนมาด้วยความสมัครใจเต็มใจ และยินยอม โดยมีจุดหมายเดียวกันว่า จะทำให้ บ้านนี้อบอุ่น เหมือนที่เคยเป็นมา มีทะเลาะกันบ้าง ตามประสาสังคมขนาดใหญ่ คุยกันได้ก็จบ บางทีก็ ต่างฝ่ายต่างลดความโกรธ แล้วถอยคนละก้าว เพื่อไม่ให้เกิดสงครามกลางเมือง เมืองนี้ก็ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาได้อีกหลาย ปีเพราะว่าทุกคนยัง รู้ว่า เรามาเพราะอะไร
จนมาถึงยุคที่ ผู้ตรวจการณ์เก่าๆไม่มีเวลา ไม่ค่อยได้ทำงาน ก็เพราะว่าบ้านเมืองมันสงบซะจนน่าเบื่อ ได้มีการเพิ่มผู้ดูแลคนใหม่ มีการจัดการ มีการดูแล ที่เข้มงวด สิ่งที่ประชาชนเคยทำได้บางอย่างถูกห้าม บางสิ่งผิดบางสิ่งถูก ก็คุยกันไป บางคนโดนทำลายฟารม์ โคโนตมๆ ที่อุสาห่ส เก็บรวบรวมกันมาตั้งแต่มาอาศัยอยู่ (555แซวนิดนะครับ) บางคนโดนไล่ออกไป จนประชาชนไม่พอใจ รวมตัวกันประท้วง ขอให้ ผู้ตรวจการณ์คนนั้น พิจารณาตนเอง จนในที่สุดก็ต้องขอถอนตัวออกไป ชนชั้นปกครองมีการตื่นตัวในเหตุการร์ที่เกิดขึ้น ได้มีการเรียกประชุม ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายและได้ข้อสรุปว่า ให้คัดเลือก ผู้ตรวจการณ์ ที่มาจากประชาชน เพื่อให้ดูแลความสงบสุขของชาวเมืองโดยเห็นว่า ชาวเมืองน่าจะเข้าใจจิตใจของตัวเอง ได้ดีมากกว่าการที่จะนำคนนอกมาดูแล กลายเป็นว่า อำนาจอันยิ่งใหญ่ ย่อมมาพร้อมความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ (ภายหลังได้มีนักแต่งละครนำไปใช้ในละครของตนเรื่อง ไอ้มุงแมง)
สังคมขนาดใหญ่ ก็ประกอบมาจากสังคมขนาดเล็ก หลายๆสังคม บางสังคม ก็ย้ายตัวออกไปสร้างเมืองเล็กๆของตัวเอง แต่ก็ยังไปมาหาสู่กันบ้างระหว่าง 2 เมือง บางสังคมจะออกไปตั้งเมืองใหม่แต่ก็ เปลี่ยนใจกลับมาเมืองเดิมเพราะรู้ว่ารักเมืองเดิมมากกว่า แต่อาจจะเก็บตัวอยู่เงียบๆ แสดงตัวเมื่อถึงเวลาเท่านั้นเอง แต่บางสังคมก็รวมตัวกันกลุ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นกลุ่มอาสา ช่วยงานต่างๆเข้าไปในหน่วยงานต่างๆเป็นเรี่ยวเป็นแรงให้ จนเป็นที่รู้จักกันดีในสังคมนั้นๆ รวมถึงการที่คอยป้องกัน ดูแลผู้ที่เข้ามา อู่ไม่ให้ มาสร้างความวุ่นวาย....คอยสอดส่อง ตลอด เกือบ 24 ชั่วโมง
แต่ อนิจจา กลุ่มผู้ตรวจเมือง เมื่อเห็นว่า มีกลุ่มอาสานี้ ก็ ปล่อยให้ กลุ่มทำงานโดย เริ่มให้ทำงานกันเอง ไม่ได้คอยช่วยเหลือเหมือนเมื่อก่อน งานนัดกินข้าว ก็ต้องล้มพับไป โดยไม่ได้ทำการช่วยเหลือจากทางราชการ(คำนี้คุ้นๆนะครับ) งานช่วยดูแลความสงบของเมือง เมื่อเกิด เหตุการณ์ไม่สงบขึ้นในหมู่บ้าน แทนที่จะทำการลงมาสอดส่อง ดูแลเหมือนเมื่อก่อน กลับ สั่งให้ลบหมู่บ้านนั้นทิ้งไปจากเมือง (เริ่มคล้าย เมทริกแล้วครับ) โดยที่ในหมู่บ้านนั้นยังมีผู้บริสุทธิ และกลุ่มอาสากำลังช่วยทำงาน อยู่ หายไปโดย ให้รู้กันว่า เป็น ผู้สูญหาย โดยที่รู้กันว่า "ผู้ที่คุณก็ไม่รู้ว่าใคร"เป็นผู้จัดการ (คำนี้ก็โดนคณะละครต่างแดนปรับเปลี่ยนแล้วเอาไปสร้างละครเรื่องยาว 7 ภาค โด่งดังทั่วโลก)
ประชาชนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เริ่ม เหนื่อยหน่าย กลุ่มอาสาที่ ทำงานเริ่ม มองเห็นว่า บางสิ่งมันผิดปรกติ แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ ได้แต่คุยกับ ผู้ตรวจการณ์ที่ รู้จัก แล้วได้รับการขอร้องว่า.. ยอมไปเถอะ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้ไหม โดย เอา หลักจารึกโบราณมาให้ดู แต่ท่านอาจไม่ทราบว่า บ้่านเมืองมันเปลี่ยนไป กฏหมายต่างๆที่บันญัติขึ้นนั้น มันใช้งานได้แค่ช่วงๆนึง (เริ่มเป็นนักกฏหมายล่ะ) ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นไม่ได้เิกิดโจรหรือผู้ก่อการร้าย แต่เกิดจากมาตราการณ์ที่ใช้ในการจัดการเหตุการณ์และการไม่ประสานงาน อาจไม่มีการประชุมประจำปีของผู้ตรวจการ (เรื่องทำโดยขาดสติไม่พูดถึงดีกว่าเดี๋ยวไม่ใช่นิทาน) เหตุการณ์เริ่มบานปลายขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงที่ เมืองข้างเคียงเกิดสงครามขึ้น เมืองของเราก็มี การจารจร ย่อยๆขึ้นในหมู่บ้าน อาจจะเกิดจากการไม่ชอบกลุ่มอาสาเป็นการส่วนตัวบ้าง ใช้ช่องโหว่ของกฏ ในการทำลายความสงบบ้าง ผู้ตรวจการณ์บางท่าน ก็ยังทำหน้าที่ตามเดิมแบบเดิมๆไม่มีการณ์ปรับเปลี่ยนรูปแบบ หรือศึกษาปัญหา คิดว่า เป็นเรื่ิองเดิมๆ หรือผู้ตรวจการบางท่านอาจจะรู้ว่าตัวก่อเหตุเป็นใคร แต่ละเลย เพราะรู้จักกัน บางทีก็ แอบลงมาร่วมซะเองโดยไม่ใช่ชื่อผู้ตรวจการ แล้วพอเห็นว่ามันบานปลาย ก็ ลบหมู่บ้านนั้นทิ้ง โดยไม่สนใจว่า ผู้บริสุทธิ กลุ่มอาสา ก็ยังคงคงทำหน้าที่อยู่
เรื่องยิ่งบานปลายขึ้นเมื่อ กลุ่มอาสา ที่ร่วมช่วยเหลือ ได้เริ่มรวมตัวกัน ตั้งเมืองใหม่ แต่ก็ยังมาช่วย ดูแลช่วยเหลือเมืองบ้านเกิดด้วยความรักเหมือนเดิม ถึวแม้ความรู้สึกเดิมๆมันจะหายไปบ้างแล้วก็ตาม บางทีก็ไม่ได้มาในฐานะกลุ่มอาสา แต่มาใน ฐานะประชาชนธรรมดา เข้ามาช่วย แต่พอรู้ว่าใครเข้ามาช่วยกลับกลบเขาทิ้งแล้วโยนไปนอกเมือง กลุ่มอาสาที่ รู้จักก็มีการทักท้วง ประกาศตัวขอลาออกโดยแจ้งเหตุผล ก็โดนโจมตี ทั้งแบบต่อหน้าและลับหลัง มีการเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ ลบเหตุการณ์ต่างๆ โดยใช้อำนาจของ เจ้าเมือง(ซึ่งได้มาจากผู้ก่อตั้ง) ทำการเขียนประวัติศาสตร์เขียนประกาศ ให้ประชาชนทั่วไปที่ ไม่ได้ติดตามเหตุการณ์ ทราบว่าเหตุการณ์ที่ ต้องการให้เป็นเป็นอย่างไร ซึ่งบางทีผู้ตรวจการ ที่ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นประจำ ได้รู้ถึง ประวัติศาสตร์ที่ได้เขียนปรับปรุงขึ้นมาเองใหม่ โดยไม่มีใครสงสัยเพราะว่า ความเสียหายต่างๆได้กลบไปหมดแล้ว
เมื่อ กลุ่มอาสา เห็นความผิดปรกติพยายามเรียกร้องความเป็นธรรม โดยการ ขอยื่น คำถามเปิดผนึก ง่ายๆ เพื่อ ให้กลุ่มผู้ตรวจการณ์ ทำการชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กลับ มีการเปลี่ยนแปลงโยกย้าย สับขาหลอก โยกย้ายสรสาร รวมถึงทำลายหลักฐานที่ได้ ก่อเรื่องไว้ในหมู่บ้านต่างๆ เริ่มตั้งแต่ดักเก็บ ดักกลบ จนสุดท้ายก็ ลบหมู่บ้านนั้นๆที่เกิดเหตุ เพื่อให้คนที่เข้ามาไม่รู้ว่า เกิดสงครามเล็กๆไปแล้ว ได้มีการ เรียกตัว ผู้ตรวจการ อวุโส เข้ามา ดูเหตุการณ์ เข้ามา ระงับความขัดแย้ง โดยให้ดูรายงานจากประวัติศาสตร์ที่เขียนขึ้นเอง (คงไม่มีทางได้เห็นว่า ลำดับเหตุการณ์ เกิดขึ้นอย่างไรในเมื่อมันโดนกลบทำลายไปหมดแล้ว)
นิทานเรื่องนี้จะจบอย่างไร
ขึ้น อยู่กับประชาชนของเมือง ที่เป็นผู้ที่อยู่ในเมืองนี้ ผู้ที่อาจจะเห็นสิ่งแปลกๆ แต่ก็ทำเป็นไม่เห็นเพื่อความสุขสงบของเมืองที่ตัวเองรัก
ขึ้นอยู่กับผู้ตรวจการของเมือง ที่จะต้องกลับมาประชุมกันว่า จริงๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้น กลุ่มอาสาถึงได้ออกมา ตะโกนดังขนาดนี้
ขึ้นอยู่กับ ความจริงใจ ที่จะ ยอมรับว่า ใครทำอะไรไปบ้าง
กลุ่ม อาสาที่ ตอนนี้ โดนประกาศไล่ออกจากเมืองไปแล้ว คงจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากนัก คนที่ใส่เสื้อสีน้ำเงิน 1 ใน 10 คนที่ใส่เสื้อหลากสีในสนาม คงจะไม่เห็นว่า มันมีอะไรผิดปรกติเท่าไร หากมี 10คนใน 100คนที่ อยู่ในสนามเดียวกัน ก็คงไม่เห็นอะไรมากนัก แต่หากมี คน 100 คนที่ยืนรวมกลุ่มกัน ในสนามที่มีคน 1000 คน มันคงจะพอจะเป็น สิ่งที่จัดหูขัดตา ใครๆบ้างแหละครับ ผมไม่ได้ เล่าเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อ ให้ ออกมา ด่ากันหรือว่า ทะเลาะว่า ใครผิดใครถูก เพราะคงไม่ได้อะไรขึ้นมา เงินเดือนก็ไม่ได้เพิ่ม
แต่ผมอยากจะบอกเล่านิทานเพราะว่า ประวัติศาสตร์ มันโดนเขียนใหม่ไปแล้วโดนผู้มีอำนาจ แต่อยากบอกว่าถ้า อยากที่จะได้ ประวัติศาตร์ ที่ พวกผมได้เห็น แต่อาจจะเป็นแค่เพียงนิทานหลอกเด็กที่เด็กเขียนขึ้นของคนอื่นๆ
ผมพร้อมที่ จะเล่าให้ฟังครับ
กมลวรรจน์ ต้น
ป.ล. ผมอยากบอกว่า นิทานเรื่องนี้ผมจาเป็นพระเอกแหละแต่ว่า หาที่แทรกไม่เจอ ฮือๆๆๆๆ
ป.อ. ผมยังคงเศร้ากับเรื่องใน ป.ล.
ป.ฮ. งานการไม่ทำเอาเวลามาพิมพ์ นิทานเนี้ยๆๆๆ ดีนะหัวหน้าไปต่างจังหวัด อิอิ