รักษ์อะไหล่ยนต์ ย่านวรจักร จำหน่ายอะไหล่ Opel อะไหล่แท้ ทุกรุ่น มือหนึ่ง ถูก

ruxalaiyont · 13630

Offline ruxalaiyont

  • น้องใหม่ในยุทธจักร
  • *
    • Posts: 43
รักษ์อะไหล่ยนต์ จำหน่ายอะไหล่รถยนต์ Opel ทุกรุ่น แท้ มือหนึ่ง กว่า 40 ปี
สามารถโทรมาสอบถาม ปรึกษา เกี่ยวกับอะไหล่รถยนต์ได้ เรามีผู้เชี่ยวชาญด้านอะไหล่กว่า 20 ปี
โทร: 02-221-7756, 02-223-9944, 02-225-2758, 02-685-4522
หรือ ทาง Email: webmaster@ruxalaiyont.com
หรือ ทาง Facebook: www.facebook.com/ruxalaiyont

ข้อมูลเพิ่มเติม
www.ruxalaiyont.com

ยินดีให้บริการทุกท่านครับ



Offline ruxalaiyont

  • น้องใหม่ในยุทธจักร
  • *
    • Posts: 43

Offline ruxalaiyont

  • น้องใหม่ในยุทธจักร
  • *
    • Posts: 43
วันนี้ admin มีบทความเกี่ยวกับ คันเร่งค้างแก้ไขอย่างไร วิธีรับมือคันเร่งค้างเหตุอันตราย
เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีข่าวที่ได้ความสนใจจากสังคมอยย่าง รถเก๋งตกอาคารจอดรถชั้น 7 (3A) ของห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์บางกะปิ โดยเหตุการณ์นี้มีประเด็นสาเหตุการเกิดอุบัติที่ยังต้องพิสูจน์สาเหตุกันต่อไป
ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ออกมาให้ข้อมูลว่ากรณีนี้อาจเกิดจาก คันเร่งค้าง ทำให้รถนั้นเร่งตลอดจนเกิดอุบัติเหตุพุ่งตกลงมาข้างล่างและปัญหาด้านเบรก ซึ่งแบ่งออกได้ 2 สาเหตุหลัก คือความผิดพลาดของตัวผู้ขับเอง (Human Error) หรือปัญหาจากตัวรถ
โดยนายปรีดา ตันเต็มทรัพย์ ประธานฝ่ายเทคนิคราชยานยนต์สมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์และนายสุรชัย ศิริสัมพันธ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์ ให้ความเห็นกรณีนี้น่าสนใจและสรุปประเด็นได้ว่า

ปัญหาคันเร่งค้าง
- อาการตกใจเวลาเจอเรื่องกะทันหัน อาจไปเหยียบคันเร่งแทนเบรก
- ใส่รองเท้าส้นสูงขับรถ เนื่องจากคนขับเป้นผู้หญิง อาจทำให้ส้นรองเท้าไปขัดกับคันเร่ง กว่าจะถอนจากคันเร่งมาเหยียบเบรกก็ไม่ทันแล้ว
- รถอาจเกิดปัญหาคนเร่งจมค้าง ทำให้แป้นเบรกแข็งจนไม่สามารถใช้เบรก เป็นปรกติของตัวรถเพื่อป้องกันการเหยียบเบรกพร้อมคันเร่งอยู่แล้ว

เบรกมีปัญหา
- เบรกจม (เบรกแตก) ทำให้ห้ามล้อไม่ได้
- หม้อเบรกมีปัญหา ทำให้เบรกแข็งเกินไปจนหยุดรถไม่ทัน
- มีขวดน้ำหรือรองเท้าไปยันเบรกไว้

ทั้งหมดนี้คือข้อสันนิษฐานถึงสาเหตุของอุบัติเหตุ โดยวิธีการรับมือปัญหาเบรกและคันเร่งค้าง ที่ควรเรียนรู้ดังนี้
ตั้งสติให้ดีให้ใส่เกียร์ว่างทันที ทำให้รถไม่เร่งความเร็ว หลังจากนั้นให้เหยียบเบรกแรง ๆ แม้จะไม่รู้สึกเหมือนว่าเบรกก็ต้องเหยียบเบรกไว้ จนรู้สึกว่ารถชะลอตัว
กรณีที่เบรกไม่ทันให้ รีบประคองรถเข้าไปหาจุดที่คิดว่าแข็งแรง ในกรณีเป็นลานจอดรถจุดที่แข็งแรงที่สุดคือเสา อย่าพุ่งไปที่ผนังหรือกำแพง และเลือกฝั่งที่ไม่มีคนนั่งชนกับเสา เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ
ทั้งนี้สิ่งที่ห้ามทำเด็ดขาด คือการดับเครื่องยนต์ เพราะถ้าดับเครื่องยนต์จะทำให้พวงมาลัยล็อก และเราจะไม่สามารถควบคุมทิศทางของรถได้
แต่ถ้าเป็นกรณีมีทางยาวให้ดับเครื่องยนต์ได้ทันที จะทำให้เครื่องยนต์ไม่ขึ้นรอบสูงจนเสีย และประคองรถเข้าข้างทางได้ สิ่งที่ห้ามทำเด็ดขาดคือดึงเบรกมือ เพราะรถจะหมุนเสียการควบคุมทันที
ทั้งหมดนี้เป็นวิธีที่ถูกต้องในการรับมือคันเร่งค้างและเบรกมีปัญหา ที่สำคัญ "สติ" จะช่วยได้แก้ปัญหาให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

Cr. kapook



ติดตามบทความดีๆ และ click like เพื่อสนับสนุนเราได้ทาง www.facebook.com/ruxalaiyont



Offline ruxalaiyont

  • น้องใหม่ในยุทธจักร
  • *
    • Posts: 43
วันนี้ admin จะมาโชว์โฉมหน้าของรถที่แพงที่สุด ในงาน Motor Expo 2014 กัน ^^
โดยรถหรูที่มีราคาแพงที่สุดในงานนี้ ตกเป็นของ 'The New Bentley Flying Spur' มูลค่ากว่า 22.5 ล้านบาท ซึ่งดูราคาแล้วคงไม่เกินเอื้อมเหล่าบรรดามหาเศรษฐีของไทย ที่จะซื้อหามาให้คนอื่นขับ!!! อ่านไม่ผิดหรอก ก็รถระดับนี้มันต้องจ้างโชเฟอร์ขับให้แล้วนี่นา จริงมั๊ย!?
Bentley Flying Spur เป็นรถยนต์ซีดานสุดหรู ที่ติดตั้งเครื่องยนต์แบบ W12 ขนาดใหญ่ถึง 6.0 ลิตร พร้อมระบบ Twin Turbocharged 48 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 616 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 800 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ ZF 8 สปีด
ภายในห้องโดยสารถูกตกแต่งอย่างประณีต ด้วยงานแฮนด์เมดจากช่างผีมือระดับสูงทั้งคัน วัสดุเบาะนั่งถูกคัดเลือกอย่างดี และตัดเย็บด้วยช่างฝีมือ สามารถเลือกได้ถึง 17 โทนสี ติดตั้งวัสดุดูดซับเสียงด้วยระบบ Twin-sealing เพื่อลดเสียงรบกวนจากภายนอกขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง
แผงคอนโซลติดตั้งระบบความบันเทิงแบบสัมผัส สามารถควบคุมเครื่องเสียง, โทรศัพท์, ระบบนำทางและการขับขี่ได้ ขณะที่ผู้โดยสารตอนหลังสามารถควบคุมได้ด้วยรีโมทแบบสัมผัส รวมถึงมีระบบเครื่องเสียงจาก Naim ให้เลือก ซึ่งมาพร้อมลำโพงถึง 11 จุดพร้อมระบบ Balance Mode Radiator ที่ช่วยให้เสียงที่สมบูรณ์ไม่ว่าจะนั่งเบาะไหนก็ตาม
เบาะนั่งตอนหลังยังมาพร้อมระบบระบายอากาศและระบบนวด รวมถึงติดตั้งหน้าจอสำหรับผู้โดยสารตอนหลังขนาด 10 นิ้ว รวมถึงเครื่องเล่น DVD และพอร์ต USB/HDMI/SD Card พร้อมด้วย Wi-Fi Hotspot สำหรับเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต
และนี่คือ รูปโฉมรถของรถที่แพงที่สุดในงาน ^^ ส่วนหลายๆคนอาจสงสัยว่า แล้วรถอะไรที่ถูกที่สุดในงาน Motor Expo ครั้งนี้ เดี๋ยววันหลัง admin จะมาเฉลยให้รู้กัน^^







Cr. sanook

ติดตามบทความดีๆ และ click like เพื่อสนับสนุนเราได้ทาง www.facebook.com/ruxalaiyont

สนับสนุนบทความดีๆ โดย รักษ์อะไหล่ยนต์ (Ruxalaiyont Limited Partnership)



Offline ruxalaiyont

  • น้องใหม่ในยุทธจักร
  • *
    • Posts: 43
เมื่อวันก่อน admin ค้างคำตอบว่า รถอะไรที่ถูกที่สุดในงาน Motor Expo 2014 วันนี้ admin จะมาเฉลยกันละ ^^
รถรุ่นที่ถูกที่สุดในงานนี้ ก็คือ.....ตงฟง มินิทรัค 1.1 ลิตร !!!!! ที่เหมาะสำหรับใช้ทำธุรกิจโดยเฉพาะ กับราคาเบาๆเพียง 2.98 แสนบาทเท่านั้น ว่าแล้ว เพื่อนๆ ที่ทำธุรกิจที่ต้องใช้รถส่งสินค้า อาจจะหูพึ่งไปตามๆกัน เนื่องจากราคาที่ช่วยรักษาเงินในกระเป๋า อาจทำให้ใครหลายๆคนสนใจรถรุ่นนี้ก็เป็นไปได้
admin ได้เอารูปมาโชว์ให้เพื่อนๆได้ดูกัน ว่าเจ้ารถคันนี้ หน้าตามันเป็นอย่างไร



Cr. sanook

ติดตามบทความดีๆ และ click like เพื่อสนับสนุนเราได้ทาง www.facebook.com/ruxalaiyont

สนับสนุนบทความดีๆ โดย รักษ์อะไหล่ยนต์ (Ruxalaiyont Limited Partnership)



Offline ruxalaiyont

  • น้องใหม่ในยุทธจักร
  • *
    • Posts: 43
เมื่อวันก่อนได้ไปต่างจังหวัด ณ ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง admin เห็นคนมุงๆกัน เลยเข้าไปถาม ปรากฏว่ารถยนต์ของลูกค้ารายนึงโดนขโมยไป !!!! เหตุการณ์นี้เอง admin เลยไปหา tips ในการจอดรถตามห้าง เพื่อนๆ (รวมถึง admin) จะได้ไม่ต้องกลัวโดนขโมยกัน

1. จอดรถในชั้นที่มีทางเข้าห้างฯเท่านั้น
ห้างสรรพสินค้าบางแห่ง อาจแบ่งที่จอดรถออกเป็นสองชั้น ต่อชั้นของตัวห้างฯหนึ่งชั้น ทำให้เกิดเป็นชั้นครึ่งที่ไม่มีทางเข้าห้างโดยตรง จำเป็นต้องเดินขึ้น-ลงบันไดเพื่อไปยังชั้นที่มีทางเข้าตัวห้างฯ ซึ่งชั้นครึ่งเหล่านี้มักมีผู้คนเดินพลุกพล่านน้อยกว่าชั้นปกติ ทำให้หัวขโมยสามารถลงมือได้ง่ายขึ้น ทางที่ดีควรเลี่ยงชั้นครึ่งเหล่านี้ ไปจอดชั้นที่มีทางเข้าห้างสรรพสินค้าแทนเสียจะดีกว่า อย่างน้อยก็มีคนเดินผ่านไปผ่านมาช่วยเป็นหูเป็นตา

2. จอดรถใกล้ทางเข้าห้างฯมากที่สุด
นอกจากจะจอดรถในชั้นที่มีทางเข้าไปยังตัวห้างฯแล้ว ยังควรจอดรถใกล้กับประตูห้างฯด้วย เนื่องจากเป็นจุดที่มีคนเดินผ่านอยู่แล้ว หากจอดรถไว้ที่ไกลๆ อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยวและลับตาคน เพิ่มความเสี่ยงต่อการโจรกรรมมากยิ่งขึ้น

3. ตรวจสอบให้แน่ใจทุกครั้งว่าล็อคประตู
เจ้าของรถควรดับเบิ้ลเช็ค หรือตรวจสอบซ้ำทุกครั้งหลังล็อคประตูรถ ว่าถูกล็อคเรียบร้อยแล้วจริงๆ ด้วยการดึงมือเปิดประตูอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเปิดไม่ออก สำหรับรถบางรุ่นที่มีระบบ Keyless Entry ที่ใช้มือเปิดประตูแบบสัมผัส ก็เพียงก้มลงไปดูว่าตัวล็อคภายในถูกกดลงแล้ว
เนื่องจากปัจจุบันหัวขโมยมีเครื่องมือที่สามารถส่งสัญญาณรบกวนคลื่นรีโมทของรถ ซึ่งหากเจ้าของรถไม่ตรวจสอบอย่างรอบคอบ ก็อาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพได้โดยง่าย

4. จอดรถในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ
การจอดรถในที่มืด ช่วยให้เหล่ามิจฉาชีพทำงานได้สะดวกขึ้น เนื่องจากโอกาสที่จะถูกพบเห็นมีน้อยกว่า ทางที่ดีควรจอดในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ เพราะนอกจากตัวรถจะปลอดภัยขึ้นแล้ว ยังเพิ่มปลอดภัยต่อเจ้าของรถขณะอยู่เดินอยู่ในที่จอดรถอีกด้วย

5. เก็บของมีค่าให้มิดชิดที่สุด
ข้อนี้เป็นจุดที่คุณผู้หญิงส่วนใหญ่มองข้ามอยู่บ่อยๆ เนื่องจากบางคนมักเก็บกระเป๋าถือไว้ใต้เบาะคนนั่ง แล้วปล่อยให้สายกระเป๋าโผล่ออกมาโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งหัวขโมยก็จะรู้ทันทีว่ามีของมีค่าอยู่ใต้เบาะแน่นอน
ทางที่ดีควรเก็บสิ่งของประเภทกระเป๋า อุปกรณ์ราคาแพงต่างๆ หรือแม้แต่ถุงที่มีลักษณะสวยงาม เช่น ถุงผ้าสักหลาด เอาไว้ในกระโปรงท้ายรถให้หมด ส่วนรถที่มีลักษณะแฮทช์แบ็คก็ควรปิดแผงบังตาไว้ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้โจรพบเห็นสิ่งของได้ง่าย

แม้ว่าที่กล่าวมานั้น อาจไม่ช่วยป้องกันมิจฉาชีพได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงลงได้เป็นอย่างดี ... เดี๋ยววันหลัง admin จะมาพูดถึงเรื่อง ถ้ารถหาย เราควรทำยังไง แจ้งที่ใคร ให้เพื่อนๆได้ทราบกัน



Cr. sanook

ติดตามบทความดีๆ และ click like เพื่อสนับสนุนเราได้ทาง www.facebook.com/ruxalaiyont

สนับสนุนบทความดีๆ โดย รักษ์อะไหล่ยนต์ (Ruxalaiyont Limited Partnership)



Offline ruxalaiyont

  • น้องใหม่ในยุทธจักร
  • *
    • Posts: 43
จากที่ admin ได้พูดถึงเรื่อง tips ในการจอดรถในห้างที่เสี่ยงต่อการขโมยน้อยที่สุด วันนี้ admin จะมาพูดเรื่อง ถ้าเกิดรถเราหายขึ้นมาจริงๆ เราควรทำอย่างไรกัน....

1.) ตั้งสติ ทำการจดรายละเอียดรถยนต์ของเราออกมา ไม่ว่าจะเป็น ป้ายทะเบียนรถยนต์ สี ตำหนิ ต่าง หรือแม้กระทั่งของกระจุกกระจิ๊ก รวมถึงเวลาและสถานที่ จดออกมาให้ได้เยอะที่สุด แล้วเตรียมรายละเอียดไว้เพื่อดำเนินการขั้นต่อไป

2.) ให้ไปยังสถานีตำรวจในท้องที่หรือตู้ตำรวจที่ใกล้ที่สุดเท่าที่จะหาได้ไม่ว่า ระหว่างทางก็แจ้ง สายด่วนรถหาย 1599 ด้วย เมื่อหาพี่ตำรวจเจอแล้วแจ้งเรื่องรถหาย เขาจะทำการเรียกวิทยุเพื่อตรวจสอบ เผื่อโชคดี โจรจะยังหนีรอดไปไม่ไกล ในขณะเดียวกันเราเองก็ต้องประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะศูนย์วิทยุร่วมด้วยช่วยกัน สวพ.91 และอื่นๆ ที่รับเรื่องราวร้องทุกข์ พร้อมแจ้งรายละเอียด ชื่อคุณและสถานที่ๆหาย เพื่อให้พลเมืองดีบนถนนช่วยกันสกัดจับ

3.) แจ้งไปยังบริษัทประกันภัยที่เราได้ทำสัญญาไว้ด้วย ซึ่งบริษัทประกันภัยเหล่านี้จะมีเจ้าหน้าที่เคลมประกัน ซึ่งมีประโยชน์มากๆ เนื่องจากพวกเขาใช้มอเตอร์ไซค์เป็นยานพาหนะ ทำให้คนร้ายมักไม่สังเกตและสามารถรวบได้ หากพบเห็น และในการแจ้งยังบริษัทประกันแต่เนิ่นๆ ทำให้บริษัทประกันมองเจตนาของเราว่าไม่ได้มีการสร้างเรื่องรถหายเพื่อชดใช้หนี้ไฟแนนซ์ ซึ่งมีหลายคนทำ

4.) หากสุดท้ายแล้วคุณไม่เจอรถยนต์สุดที่รักของคุณจริงๆ โดยให้ใช้ระยะเวลาประมาณ 7 วันในการโทรศัพท์ตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งต่างๆที่ได้แจ้งไว้ โดยสำหรับการติดตามของตำรวจนั้นสามารถติดตามได้ทาง www.lostcar.go.th ก็ให้เราดำเนินการเคลมสินไหมทดแทนจากบริษัทประกัน ซึ่งจะเรียกเราเข้าไปคุยที่สำนักงานใหญ่ และต้องมีการตรวจสอบเหตุการณ์ โดยจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ หากไม่พบพิรุธ เขาก็จะดำเนินการชดใช้สินไหมให้ตามสัญญา

รายละเอียดเบอร์โทร เหตุฉุกเฉิน
1599 สายด่วนรถหาย
191 เหตุด่วนเหตุร้าย
1644 สวพ. 91
1677 – 1678 ร่วมด้วยช่วยกัน



Cr. sanook

ติดตามบทความดีๆ และ click like เพื่อสนับสนุนเราได้ทาง www.facebook.com/ruxalaiyont

สนับสนุนบทความดีๆ โดย รักษ์อะไหล่ยนต์ (Ruxalaiyont Limited Partnership)



Offline ruxalaiyont

  • น้องใหม่ในยุทธจักร
  • *
    • Posts: 43
เกี่ยวกับเรื่องไฟเบรก ถือว่าสำคัญมาก (อันนี้ admin confirm) รถคันไหนไฟเบรกขาด ถือว่ามีความอันตรายอย่างยิ่ง เพราะรถคันตามหลังอาจชนท้ายรถคุณได้ทุกเมื่อ สาเหตุที่ทำให้ไฟเบรกไม่ติดอันดับหนึ่งคือ หลอดไฟไส้ขาด
อายุของหลอดไฟไม่สามารถระบุได้แน่นอน ขึ้นอยู่กับการใช้งาน พฤติกรรมของผู้ใช้รถส่วนใหญ่ เวลาติดไฟแดง บนสะพาน และอื่นๆ ชอบเหยียบเบรกค้างไว้ ผู้ที่อยู่รถคันหลังในตอนกลางวันความสว่างไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นกลางคืน แสงจากไปเบรกจะเข้าตาอย่างชัดเจน จนบางครั้งทำให้หน้ามืดเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นรถจอดบนพื้นเรียบ ควรเข้าเกียร์ว่างและเอาเท้าออกจากคันเหยียบเบรก หลอดไฟก็จะใช้งานนานขึ้น และผู้ขับรถตามหลังก็ไม่รำคาญด้วย
สำหรับการตรวจสอบไฟเบรก กรณีมีเพียงคนเดียว ให้หันท้ายรถเข้ากับกำแพง หรือ วัสดุที่สามารถเห็น สะท้อนได้ชัดเจน เหยียบเบรกแล้วมองดูว่าติดครบทุกดวงหรือไม่ ถ้าหลอดไฟหลอดหนึ่งขาดให้ถอดเปลี่ยน
กรณีมี 2 คน เหยียบเบรก 1 คน อีก 1 คน อยู่ท้ายรถ เพื่อดูสถานะของไฟเบรก
ในการถอดเปลี่ยน ในแต่ละรุ่น แต่ละแบบ แตกต่างกันไป และต้องใช้ขนาดของหลอดที่เท่ากัน
ในบางครั้ง หลอดไฟเบรกติดครบหมดทุกดวง แต่พอเปิดไฟหรี่หรือไฟหน้า แล้วเหยียบเบรก ไฟเบรกบางดวงเกิดดับไป แสดงว่ามีการขัดข้องเกิดขึ้น ส่วนนี้คงต้องให้ผู้ชำนาญงานตรวจสอบอีกครั้ง
ถ้าต้องการเปลี่ยนหลอดไฟเบรกด้วยตนเอง โดยซื้อหามาใส่เอง ควรเลือกชนิดหลอดไฟที่มีขนาดและค่ากำหนดเท่ากัน มิฉะนั้นจะส่งผลกระทบถึงส่วนอื่น เช่น ในรถยนต์ที่มีระบบเอบีเอส ถ้าใช้หลอดไฟไม่เหมือนกัน จะทำให้ไฟโชว์เอบีเอสค้างได้



Cr. sanook

ติดตามบทความดีๆ และ click like เพื่อสนับสนุนเราได้ทาง www.facebook.com/ruxalaiyont

สนับสนุนบทความดีๆ โดย รักษ์อะไหล่ยนต์ (Ruxalaiyont Limited Partnership)



Offline ruxalaiyont

  • น้องใหม่ในยุทธจักร
  • *
    • Posts: 43
หลายๆคน อาจได้ยิน และสงสัยว่า วิธีการที่เรียกว่า เคลือบแก้ว มันดีอย่างไร แล้วทำไมมันถึงแพงจัง แล้วถ้ารถใหม่จำเป็นต้องทำเคลือบแก้วทุกคันมั้ย? วันนี้ admin มีคำตอบครับ

1. เคลือบแก้ว มีประโยชน์ อะไรบ้าง
เคลือบแก้วทำหน้าที่เป็นผิวสำรอง แทนแล็คเกอร์หรือสีจริง มีหน่วยความหนาเป็นไมครอน หนามาก ทนรอยได้มาก ก็แพงมาก ประโยชน์ของเคลือบแก้ว หลักๆ คือ ป้องกันสีไม่ให้สีรถซีดจาง เพราะรถบ้านเรา จอดตากแดด มากกว่าจอดในร่ม ประโยชน์ต่อมาคือ ฝุ่นเกาะน้อย น้ำเกาะน้อย ไม่ค่อยเกิดคราบน้ำ ล้างรถง่าย เงางาม ลื่นตลอด แม้ไม่เคลือบสี ป้องกันรอยขีดข่วนบางๆ จากผ้าเช็ดรถ รอยทราย ป้องกันคราบจากมูลนก ยางไม้ ที่จะเกาะติดและทำลายสีรถ

2. เคลือบแก้วแล้ว มันต้องดูแลรักษาอย่างไร
ถ้าล้างเองก็ไม่ยาก ฉีดน้ำล้าง น้ำแรกๆ ฉีดเยอะๆ อย่าไปกลัวเปลืองน้ำ ล้างเอาโคลน ทราย ที่ติดรถ ออกให้หมด แล้วค่อยล้างด้วยโฟม แนะนำว่าควรเป็นโฟม ค่า pH มันเป็นกลาง ยี่ห้อไหนก็ได้ ไม่มีผลอะไรกับเคลือบแก้วแท้ (เน้น นะคะ ว่า เคลือบแก้วแท้ ถ้าแท้ มันต้องทนเคมีได้ ถ้าทนไม่ได้ มันก็คือไม่แท้..) ใช้ถุงมือล้างรถที่เป็นขนไมโครไฟเบอร์ ถ้าเป็นฟองน้ำ เวลาติดทราย มันล้างยาก รถจะเป็นรอยทรายได้ ไม่สวย เช็ดด้วย ชาร์มัว กับผ้าไมโครไฟเบอร์ ( เสื้อผ้าเก่าๆ ไม่ควรเอามาเช็ดรถ ผ้ามันแข็ง ตะเข็บเยอะ เกิดรอยง่าย) แล้วตามด้วยเคลือบสี (Wax) บ้าง จะช่วยให้เคลือบแก้วอยู่ทน เคลือบสี ไม่ว่าจะเป็น Waxน้ำ โลชั่น หรือแบบขี้ผึ้งได้หมด ถ้าใครบอกว่าเคลือบแก้ว แล้วเคลือบสีหรือลง Wax ไม่ได้ ก็ผิดละ
ถ้าล้างคาร์แคร์ เลือกร้านที่ดีนิดนึง ดูอย่างไรว่าดี เอาเป็นว่า ไ่ม่ล้างรวมกับรถแท็กซี่ ก็พอได้ละ (ล้างถูกมาก ล้างเร็วมาก วัสดุ และอุปกรณ์ที่ใช้ ไม่ได้มาตรฐานด้านความสะอาดมากนัก โอกาสเกิดรอยก็มีสูง)

3. เคลือบแก้ว ทำไมแพงมาก ถูกๆ มีมั้ย
เคลือบแก้วแท้ๆ ราคาสมเหตุสมผลนะ ต้นทุน คุณภาพ และสถานที่(Area) เป็นตัวกำหนดราคาขาย จำไว้อย่างนึง ของถูกและดี ไม่มีในโลก ยกเว้นว่าโดนหลอก ธุรกิจต้องมี ต้นทุน และธุรกิจก็ต้องมีกำไร ถ้าไม่มีกำไร ไม่มีใครทำหรอก เปรียบเทียบราคา และบริการหลังการขาย เลือกในสิ่งที่ใช่และบริการที่คุณชอบ น้ำยาดีเว่อร์ แต่บริการไม่ประทับใจ ก็ไม่มีประโยชน์

4. มีแต่เคลือบแก้วเหรอ...ที่ช่วยปกป้องสีรถ
มันไม่ใช่เลย กับความคิดที่ว่า เคลือบแก้ว จะช่วยปกป้องสีรถได้อย่างเดียว การลง Wax สม่ำเสมอ เลือก Wax ที่เป็นสูตร โพลิเมอร์สังเคราะห์ , Sealant , เรซิ่น Wax พวกนี้จะมีโมเลกุลเรียงตัวจับติดกับสีรถ สามารถสร้างชั้นฟิล์มบางๆ เคลือบตัวรถได้อีกชั้นนึง สีสดไม่ซีดง่าย น้ำไม่เกาะ ฝุ่นเกาะน้อย ล้างรถง่าย แต่ข้อเสีย อย่างนึงคือ Wax ในโลกนี้ทุกตัว ล้างรถแล้วก็ต้องหลุด เป็นเรื่องปกติ ต้องลงใหม่อีก ซึ่งจะต่างกับเคลือบแก้ว ล้างแล้วไม่หมดในครั้งเดียว จะค่อยๆบางลงเรื่อยๆ จนครบอายุของเคลือบแก้ว

สรุปอย่างไม่เข้าข้างใครดีกว่า การดูแลรักษารถให้เงางาม เหมือนใหม่ตลอดเวลา ทำได้หลายวิธี มีงบประมาณมากหน่อยก็เคลือบแก้วอยู่ได้นานกว่า ไม่ต้องลงบ่อยๆ รับประกันความสดของสี ไม่ซีดจาง แต่ถ้ามีงบประมาณไม่สูง เคลือบสี(Wax) ก็พอ ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย รถคันนึงซื้อมาหลายแสน จัดงบประมาณดูแลซักเดือนละ 700-800 ก็ Ok แล้ว ถ้าอยากมีรถใหม่ป้ายแดงใช้ทุกวัน ดูแลรถ....ตามงบประมาณนั่นแหละดีที่สุด



Cr. washatme

ติดตามบทความดีๆ และ click like เพื่อสนับสนุนเราได้ทาง www.facebook.com/ruxalaiyont

สนับสนุนบทความดีๆ โดย รักษ์อะไหล่ยนต์ (Ruxalaiyont Limited Partnership)



Offline ruxalaiyont

  • น้องใหม่ในยุทธจักร
  • *
    • Posts: 43
ระบบแอร์ในรถยนต์นั้น ถือว่ามีความสำคัญต่อผู้ที่อยู่ในรถอย่างยิ่ง เนื่องจากเราต้องสูดดมอากาศที่ได้จากระบบปรับอากาศอยู่ตลอดเวลา แล้วรู้ไหมว่าแอร์รถเรานั้นอาจเต็มไปด้วย "เชื้อโรค" วันนี้ admin จะมาบอก tips ในการปรับอากาศในรถยนต์

1.) ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ ควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่า สวิตช์แอร์ถูกปิดอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้พัดลมแอร์ทำงานโดยเปล่าประโยชน์
2.) เมื่อรถสตาร์ทติดแล้ว ควรเปิดแอร์โดยใช้ความเร็วพัดลมสูงก่อน เพื่อเป็นการไล่ความร้อนในระบบแอร์ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าปุ่ม A/C ถูกเปิดอยู่ และควรปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ หากรู้สึกว่าแอร์รถเย็นเกินไป ควรใช้วิธีปรับอุณหภูมิให้สูงขึ้น เพราะการใช้วิธีหันหน้ากากแอร์ออกจากตัวหรือปิดช่องแอร์ จะทำให้คอมเพรสเซอร์แอร์ทำงานหนักโดยไม่จำเป็น และยังเป็นการเพิ่มความชื้นในระบบแอร์ เนื่องจากไม่สามารถระบายความเย็นได้เท่าที่ควร
3.) ก่อนดับเครื่องยนต์ ควรปิดการทำงานของคอมเพรสเซอร์แอร์ ด้วยการกดปุ่ม A/C OFF โดยยังคงเปิดพัดลมแอร์ทิ้งไว้ประมาณ 1-2 นาที เพื่อระบายความเย็นส่วนที่เหลือ โดยอาจทำขณะเข้าจอดรถในบ้านหรือที่จอดรถก็ได้ เนื่องจากคอยล์เย็นหรือตู้แอร์ มักมีสภาพเปียกชื้นขณะทำงาน การทำลักษณะเช่นนี้จะเป็นการไล่ความชื้นเหล่านั้นออกมา ไม่ให้สะสมจนเกิดเชื้อแบคทีเรีย อันเป็นสาเหตุของกลิ่นอับในรถยนต์นั่นเอง จากนั้นจึงค่อยปิดพัดลมแอร์แล้วจึงดับรถยนต์

วิธีแก้ไขหากรถสุดรักของท่านผู้อ่านเกิดกลิ่นอับ สามารถแก้ไขเบื้องต้นได้ โดยนำรถของท่านไปจอดทิ้งไว้กลางแดด แล้วเปิดประตูทั้งสี่บานทิ้้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง หรือจนกว่ากลิ่นจะจางหายไป ทั้งนี้เพื่อช่วยให้ความชื้นภายในรถระเหยออกไปนั่นเอง

เพียงเท่านี้ ก็จะช่วยถนอมระบบแอร์ให้สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้น และไม่มีกลิ่นอับอีกด้วย



Cr. sanook

ติดตามบทความดีๆ และ click like เพื่อสนับสนุนเราได้ทาง www.facebook.com/ruxalaiyont

สนับสนุนบทความดีๆ โดย รักษ์อะไหล่ยนต์ (Ruxalaiyont Limited Partnership)



Offline Wutin10

  • น้องใหม่ในยุทธจักร
  • *
    • Posts: 10
  • No.: 5025
  • รุ่นรถ: Gospel
  • สีรถ : Brone
  • เครื่องยนต์: Hestra 5

Offline ruxalaiyont

  • น้องใหม่ในยุทธจักร
  • *
    • Posts: 43
@Wutin10 ขอบคุณครับคุณ Wutin10

หลังจากผ่านช่วงวันหยุดปีใหม่มา admin ขอให้เพื่อนๆทุกคนมีแต่ความสุข ความเจริญทุกคนน่ะครับ ^^
วันนี้ admin มีข่าว สรุปสถิติ 7 วันอันตราย ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคมถึงวันที่ 5 มกราคม มียอดผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนรวม 341 ราย บาดเจ็บ 3,117 คน เชียงใหม่มียอดผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด 18 ราย
นายวิบูลย์ สงวนพงษ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนประจำวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันที่ 7 และเป็นวันสุดท้ายของการรณรงค์ ในโครงการ “มอบความสุขทั่วไทย สัญจรปีใหม่ปลอดภัยทุกคน” โดยในวานนี้มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุ 265 ครั้ง เสียชีวิต 40 ราย บาดเจ็บ 274 คน สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุคือ ขับรถเกินกว่ากฏหมายกำหนดร้อยละ 27.17
สรุปสถิติสะสม 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2557 – 5 มกราคม 2558 เกิดอุบัติเหตุรวม 2,997 ครั้ง เสียชีวิตรวม 341 ราย บาดเจ็บรวม 3,117 คน จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุดยังคงเป็นเชียงใหม่ จำนวน 133 ครั้ง จังหวัดที่มียอดผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุดคือ เชียงใหม่ จำนวน 18 ราย ส่วนจังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุดคือ เชียงใหม่ 129 คน ในส่วนของจังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิตคือ สิงห์บุรี นครพนม สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุคือ เมาสุรากว่าร้อยละ 38.30
โดยนายวิบูลย์กล่าวว่า ในภาพรวมของการดำเนินการในปีนี้เป็นที่น่าพอใจ สถิติตัวเลขของการเกิดอุบัติเหตุลดลงถึง 5.5 เปอร์เซ็นต์ อัตราการเสียชีวิตลดลงถึง 7 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีปัจจัยสำคัญจากความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนการลดอุบัติเหตุในทุกระดับ ควบคู่กับการบังคับใช้กฏหมายการจราจรอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการขับรถเร็วเกินกำหนดและเมาแล้วขับอีกด้วย



Cr. SpringNewsTV

ติดตามบทความดีๆ และ click like เพื่อสนับสนุนเราได้ทาง www.facebook.com/ruxalaiyont

สนับสนุนบทความดีๆ โดย รักษ์อะไหล่ยนต์ (Ruxalaiyont Limited Partnership)




Offline ruxalaiyont

  • น้องใหม่ในยุทธจักร
  • *
    • Posts: 43
หลายๆคนคิดว่า การเติมลมยางสำคัญขนาดไหน แล้วควรเติมลมยางอย่างไรที่จะยืดอายุการใช้งานของยางได้... วันนี้ admin มีคำตอบมาบอกเพื่อนๆกันละ

1.) เติมลมเมื่อยางเย็น
     อันที่จริงควรเช็คลมยางในขณะที่ยางเย็น  หรือก่อนการใช้งานนะครับ  แนะนำตอนเช้าก่อนขับออกไปทำงานก็ได้ เพราะเมื่อล้อเริ่มหมุนยางจะเกิดการเปลี่ยนรูป  ทำให้อากาศภายในเกิดการเคลื่อนไหวจนทำให้เกิดความร้อนขึ้น แล้วจะทำให้ค่าที่ได้จากการวัดแรงดันผิดเพี้ยน เพราะฉะนั้นควรเติมลมเพิ่มขึ้นอีก 2 ปอนด์เพื่อชดเชยความดันอากาศที่ขยายตัว

2.) การสูบลมยาง
- ตรวจเช็คลมยางขณะที่ยางยังเย็นอยู่หรือในช่วงเวลาก่อนออกเดินทางและปรับแต่งให้ถูกต้องตามอัตราที่โรงงานผู้ผลิตรถยนต์กำหนดเป็นประจำ
- ในกรณียางใหม่  ให้เพิ่มความถี่(ขยันนิดนึง)ในการตรวจเช็คลมยางให้มากกว่าปกติ (ในช่วง 3,000 กม. แรก)  เนื่องจากโครงยางในช่วงนี้จะมีการขยายตัวทำให้ความดันลมยางลดลง
- ห้ามปล่อยลมยางออก  เมื่อความดันลมยางสูงขึ้นในขณะกำลังใช้งานเพราะความร้อนที่เกิดขึ้นขณะที่ใช้งานเป็นตัวทำให้ความดันลมภายในยางสูงขึ้น
- เพื่อป้องกันลมรั่วซึมที่วาล์ว  ควรเปลี่ยนวาล์วและแกนวาล์วทุกครั้งที่เปลี่ยนยางใหม่และมีฝาปิดวาล์ว(จุ๊บลม)ตลอดเวลา
- สำหรับยางอะไหล่  ให้ตรวจเช็คลมยางให้ถูกต้องทุกครั้งอยู่เสมอ
- ในกรณีรถเก๋งที่ขับด้วยความเร็วสูง หรือเดินทางไกล  ให้เติมลมยางให้มากกว่าปกติ  3-5  ปอนด์ต่อตารางนิ้ว

3.) ตรวจเช็คความดันลมยางอย่างน้อยเดือนละครั้ง
     ควรตรวจเช็คความดันลมยางของรถคุณ ให้อยู่ระดับที่ผู้ผลิตกำหนดเพื่อให้หน้ายางสัมผัสกับผิวถนนได้อย่างสม่ำเสมอ  โดยปกติโรงงานประกอบรถยนต์จะระบุระดับความดันลมยางที่เหมาะสมกับรถไว้บนแผ่นโลหะบริเวณขอบประตูหรือกำหนดในคู่มือประจำรถ  การเติมลมยางที่ถูกต้องจะช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและยังช่วยยืดอายุการใช้งานให้กับรถคุณอีกด้วย

4.) การเติมลมยางมากเกินไป
     จะทำให้หน้าสัมผัสของยางกับพื้นผิวถนนลดลง  ดอกยางบริเวณกลางจะสึกมากกว่าด้านข้างทั้งสอง รถกระดอนเมื่อวิ่งบนถนนขรุขระและการรับแรงและการยืดหยุ่นด้อยลง เมื่อมีการรับน้ำหนักหรือการกระแทก ก็อาจทำให้เกิดการระเบิดของยางได้ง่าย เพราะฉะนั้นควรเติมให้พอดีๆ

5.) การเติมลมยางน้อยไป
     จะทำให้ดอกยางไม่เรียบ  สังเกตุได้โดยดอกยางบริเวณไหล่ยางจะสึกเร็วกว่าบริเวณกลางยาง  การหมุนหรือบังคับ พวงมาลัย ได้ยากขึ้น เกิดความร้อนสูงขณะยางเปลี่ยนรูปและแรงกระแทกจะทำให้โครงสร้างผ้าใบเสียหาย  และไม่สามารถคืนกลับสภาพเดิมได้

6.) เช็คลมยางอย่างไรให้ถูกต้อง
     ลมยางจะลดลงโดยตัวมันเองประมาณ  2-3 ปอนด์ต่อตารางนิ้วต่อเดือน  ดังนั้นจึงควรเช็คลมยางอย่างน้อยเดือนละครั้ง  ขณะที่ยางยังเย็นอยู่  โดยเติมลมยางตามคู่มือรถแต่ละคันที่ติดอยู่ที่ข้างประตูรถ

7.) การสลับตำแหน่งยาง
     ยางรถยนต์จะเกิดการสึกหรอไม่เท่ากันทุกเส้น  โดยมีหลายสาเหตุ เช่น สภาพรถ, สภาพผิวถนน, ศูนย์ล้อ, การหักเลี้ยวของรถ, การสูบลมยาง, ลักษณะการขับขี่ เป็นต้น   โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในตำแหน่งล้อหน้าจะเกิดการสึกผิดปกติของดอกยางง่ายที่สุด ดังนั้น เพื่อให้ยางมีอายุการใช้งานได้นาน  ควรสลับตำแหน่งยางยางทุก 10,000 กม. เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่



Cr. OLX.co.th

ติดตามบทความดีๆ และ click like เพื่อสนับสนุนเราได้ทาง www.facebook.com/ruxalaiyont

สนับสนุนบทความดีๆ โดย รักษ์อะไหล่ยนต์ (Ruxalaiyont Limited Partnership)



Offline ruxalaiyont

  • น้องใหม่ในยุทธจักร
  • *
    • Posts: 43
วันนี้ admin ไปเจอ 5 อันดับพฤติกรรมขับรถยอดแย่ ที่ทุกคนต้องร้อง “ยี้” .... เพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัย และถึงจุดมุ่งหมายอย่างสวัสดิภาพ เราควรหลีกเลี่ยงจาก 5 อันดับพฤติกรรมในการขับขี่เหล่านี้ :)

อันดับ 1 เปิดไฟสูงค้างไว้ตลอด

     การเปิดไฟสูงค้างไว้เป็นการทำลายสมาธิของรถคันอื่นอย่างหนึ่ง เพราะแสงไฟจากหน้ารถเป็นแสงที่มีความเข้มสูง อาจรบกวนสายตาของคนขับ ทำให้สายตาเกิดการพร่ามัวไปชั่วขณะได้ ซึ่งอาจเกิดจากความไม่ตั้งใจ โดยเฉพาะมือใหม่หัดขับที่ยังใช้อุปกรณ์ต่างๆ ในรถไม่คล่อง เผลอเปิดไฟสูงโดยไม่รู้ตัว  ซึ่งการเปิดไฟสูงค้างไว้แบบนี้อาจเป็นอันตรายกับรถคันหน้าหรือรถที่ขับสวนมาได้

อันดับ 2 ขับช้าแต่แช่เลนขวา

     “ขับเร็วชิดขวา ขับช้าชิดซ้าย” คำนี้เราได้ยินกันจนจำขึ้นใจ แต่ก็ยังไม่วายเจอพฤติกรรมขับรถแช่ในช่องจราจรด้านขวาอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจของคนขับก็ตาม แต่ในทางกฎหมายบ้านเราได้กำหนดให้เลนขวามีไว้สำหรับการแซงเท่านั้น  พฤติกรรมการขับรถแช่เลนขวาจะทำให้ผู้ขับขี่ที่ขับเร็วกว่า จำเป็นต้องแซงขึ้นไปทางซ้ายแทน ซึ่งอาจเกิดอันตรายได้มากกว่า

อันดับ 3 ปาดหน้าก่อนถึงแยก

     เวลาเร่งรีบแต่ต้องมาเจอรถติดหนัก พฤติกรรมที่พบเห็นได้บ่อยๆ ตามทางแยก เห็นจะเป็นการปาดหน้าเอาดื้อๆ นี่แหละ จะมีรถส่วนหนึ่งที่ไม่ยอมอดทนต่อแถวเหมือนคันอื่นเขา แต่จะใช้วีธีลัดด้วยการขับแทรกหรือแซงขึ้นมาเบียดหัวแถวก่อนถึงทางแยกเล็กน้อย พวกนี้เห็นแล้วมันน่านัก! พฤติกรรมแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการแซงคิวซื้อของเลย นอกจากจะขวางการจราจรเลนอื่นแล้ว ยังทำให้รถเคลื่อนตัวได้ช้ากว่าปกติด้วย

อันดับ 4  ไม่เปิดสัญญาณไฟเลี้ยว

     เวลาเราจะขับรถเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ไฟเลี้ยวเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยเมื่อต้องการเลี้ยวหรือเปลี่ยนเลน แต่เดี๋ยวนี้กลับมีผู้ขับขี่จำนวนมากที่เปลี่ยนเลนหรือเลี้ยวโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว ทำแบบนี้ระวังคนขับรถอีกเลน เขาจะตกใจเอานะ ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้นี่แหละที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุมาแล้วนับไม่ถ้วน

อันดับ 5 ขับรถเร็วกว่าที่กฎหมายกำหนด

     นี่เป็นปัจจัยหนึ่งที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเป็นอันดับต้นๆ เลยก็ว่าได้ ตามปกติการขับรถบนท้องถนน  ทางกฎหมายกำหนดให้ผู้ขับขี่ใช้ความเร็วได้ 90 กม./ชม. ซึ่งก็ถือว่าไม่ช้าไม่เร็วจนเกินไป ความเร็วเท่านี้ก็นับว่าเพียงพอแล้วสำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน  หากขับรถด้วยความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดนี้ จะทำให้เรามีเวลาตัดสินใจน้อยลงหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้น  เท่ากับว่ามีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายได้



Cr. sanook.com

ติดตามบทความดีๆ และ click like เพื่อสนับสนุนเราได้ทาง www.facebook.com/ruxalaiyont

สนับสนุนบทความดีๆ โดย รักษ์อะไหล่ยนต์ (Ruxalaiyont Limited Partnership)



Offline ruxalaiyont

  • น้องใหม่ในยุทธจักร
  • *
    • Posts: 43
หลายๆคนอาจสงสัยว่า เจ้า Battery มันต้องรักษา ดูแล หรือ เช็คสภาพยังไง วันนี้ admin มีคำตอบแล้วครับ

วิธีการดูแล Battery อย่างง่ายๆ มีดังนี้
1. ตรวจสอบสภาพของแบตเตอรี่เสมอ อย่าให้มีรอยแตกร้าว เพราะจะทำให้แบตเตอรี่ไม่เก็บประจุไฟฟ้า
2. ดูแลขั้วแบตเตอรี่ให้สะอาดเสมอ ถ้ามีคราบเกลือเกิดขึ้น ให้ทำความสะอาด
3. ตรวจสภาพของระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่ทุกๆ 1 สัปดาห์
4. ตรวจเช็กระบบไฟชาร์จของอัลเตอร์เนเตอร์ ว่าระบบไฟชาร์จต่ำหรือสูงไป ถ้าต่ำไป จะมีผลทำให้กำลังไฟไม่พอใช้ในขณะสตาร์ตเครื่องยนต์ หรือถ้าสูงไปจะทำให้ น้ำกรดและน้ำกลั่นอยู่ภายในระเหยเร็วหรือเดือดเร็วได้ ในช่วงเวลาเดียวกัน
5. ช่วงที่มีอากาศหนาวหรืออุณหภูมิต่ำ ประสิทธิภาพการแพร่กระจาย ของน้ำกรด และน้ำกลั่นจะด้อยลง เพราะฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงการใช้กระแสไฟมากๆ ขณะอากาศเย็น
6. ควรศึกษาถึงการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ให้เหมาะสมกับแบตเตอรี่และไดชาร์จ เพื่อที่จะให้วงจรการไหลของไฟฟ้าเป็นไปด้วยดี
7. ควรเติมน้ำกลั่นให้ได้ตามระดับที่กำหนด ไม่ควรเติมต่ำหรือสูงเกินไป (เติมสูงไป เป็นสาเหตุหลักทำให้ขี้เกลือขึ้นเร็ว แบตสกปรกเร็ว)

เมื่อเราใช้แบตเตอรี่ไปได้สัก 1 ปีครึ่ง หรือ 2 ปี แบตเตอรี่จะเริ่มเสื่อมสภาพ
หากสังเกตดีๆ เมื่อแบตเตอรี่ใกล้เสื่อมสภาพจะมีสัญญาณเตือนดังนี้
1. เครื่องยนต์เริ่มสตาร์ทติดยาก
2. ไฟหน้าไม่ค่อยสว่าง
3. ระบบกระจกไฟฟ้าทำงานช้าลง
4. ระบบไฟฟ้าในรถทำงานผิดปรกติ

เมื่อมีสัญญาณเตือนดังนี้ ก็เข้าร้านที่ไว้ใจได้ เปลี่ยนแบตเตอรี่ได้เลย
บาง ครั้ง หากมีการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถยนต์เพิ่ม แบตเตอรี่ก็ควรถูกปรับเปลี่ยนความจุให้มีมากขึ้นด้วย ซึ่งหากมีการติดตั้งแบตเตอรี่ใหม่ในยานพาหนะ ควรปฏิบัติดังนี้
1. สังเกตว่าแบตเตอรี่ใหม่ ซึ่งจะใช้ติดรถ อยู่ในสภาพไฟเต็ม
2. ควรบันทึกวันที่เริ่มใช้แบตเตอรี่ใหม่ ไว้เพื่อการตรวจสอบสภาพ เป็นช่วงๆ (ผมใช้ปากกาเมจิกเขียนที่ตัวแบตเลย)
3. ยึดแบตเตอรี่และแท่นวางแบตเตอรี่ให้แน่น ไม่เคลื่อนไหว
4. ถ้าแบตเตอรี่มีท่อยาวระบายอากาศ อย่าให้ท่อระบายอากาศถูกกดทับเพราะอาจทำให้แบตเตอรี่ระเบิดได้
5. ใส่ขั้วไฟก่อน (อาจเป็นขั้วบวกหรือขั้วลบก็แล้วแต่ชนิดของรถ) ก่อนใส่ควรขยายขั้วสวมให้โตกว่าขั้วแบตเตอรี่เล็กน้อย ห้ามตอกขั้วต่ออัดลงไปเพราะจะทำให้ขั้วแบตเตอรี่ทรุดตัว แบตเตอรี่อาจเสียหายได้ (ถ้าลำบากนักก็ให้ร้านเขาใส่ ถ้าร้านทุบหัวขั้วแบตทรุด ก็ทุบหัวเจ้าของร้านเลย)
6. เมื่อต่อขั้วเรียบร้อย ทาขั้วด้วยจารบี หรือวาสลิน
7. ต่อขั้วดินเป็นอันดับสุดท้าย

จากนั้นก่อนสตาร์ทเครื่อง ก็ควรตรวจดูความถูกต้องในการต่อขั้วอีกครั้ง เพื่อความปลอดภัยของรถยนต์และตัวคุณเอง



Cr. kautosmilesclub

ติดตามบทความดีๆ และ click like เพื่อสนับสนุนเราได้ทาง www.facebook.com/ruxalaiyont

สนับสนุนบทความดีๆ โดย รักษ์อะไหล่ยนต์ (Ruxalaiyont Limited Partnership)



Offline umc2006

  • หนึ่งในใต้หล้า
  • ****
    • Posts: 454
มีมอเตอร์เปิด-ปิดประตู ฝั่งขวา(คนขับ) โอเปิ้ล คอซ่า 3D ไหมคับ
ราคาเท่าไร+ค่าส่งเท่าไร

ขอบคุณคับ
 8) 8)

มิตรภาพ สำคัญกว่าเงินตรา..


Offline ruxalaiyont

  • น้องใหม่ในยุทธจักร
  • *
    • Posts: 43
@umc2006 รบกวนคุณumc2006 ติดต่อมาที่หน้าร้านเราจะสะดวก และเร็วกว่าครับ :)




Offline ruxalaiyont

  • น้องใหม่ในยุทธจักร
  • *
    • Posts: 43
หลายๆคนสงสัยว่า "ประกันรถยนต์ออนไลน์" คืออะไร แล้วทำไมถึงจ่ายในราคาที่ถูกกว่าประกันรถยนต์แบบทั่วไป.... วันนี้ admin ได้หาคำตอบมาให้เพื่อนๆแล้วล่ะ ^^

ในยุค 3G แบบนี้ ประกันรถยนต์ออนไลน์ก็เป็นอีกวิธีที่ดีสำหรับคนที่ชอบความสะดวก รวดเร็ว แถมไม่ต้องควักกระเป๋าจ่ายแพงๆ และด้วยราคาเบี้ยประกันที่ไม่แพงอย่างที่คิด ทำให้หลายคนมีคำถามว่า ทำไมประกันรถยนต์ออนไลน์ถึงให้เบี้ยประกันราคาถูกได้? ถ้าจะให้รู้จริงต้องสืบให้รู้ชัดๆไปเลย วันนี้เราเลยจะมาแงะความจริงที่นี้กัน โดยใช้ตัวอย่างประกันรถยนต์ออนไลน์ ยี่ห้อ DirectAsia.com ที่เป็นโบรกเกอร์ประกันภัยที่ร่วมมือกับบริษัท ฟอลคอนประกันภัย จำกัด (มหาชน) ให้บริการผ่านทางเว็บไซต์ โทรศัพท์

เราลองมาทำความรู้จัก 4 เหตุผลที่ทำให้ประกันรถยนต์ออนไลน์สามารถคำนวณเบี้ยประกันได้ในราคาที่คุ้มค่า ดังนี้

1. ซื้อประกันรถยนต์ได้โดยตรง
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ไม่ต้องคอยกังวลเรื่องการทำประกันรถยนต์ นอกจากเราจะสามารถซื้อประกันรถยนต์ผ่านทางออนไลน์แล้ว ยังสามารถซื้อประกันรถยนต์ได้ทางเคาน์เตอร์เซอร์วิส และทางโทรศัพท์ด้วย รู้มั้ยว่า...การใช้บริการผ่านช่องทางเหล่านี้ ช่วยให้เราไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมยิบย่อย รวมถึงไม่ต้องจ่ายเงินผ่านคนกลาง นี่แหละที่ทำให้เบี้ยประกันรถยนต์ของเราถูกลง

2. เลือกความคุ้มครองได้ตามต้องการ
แน่นอนว่าผู้ขับขี่แต่ละคนมีความต้องการความคุ้มครองรถยนต์ไม่เหมือนกัน ถ้าจะต้องเหมาจ่ายทั้งหมดก็คงไม่คุ้ม อย่างนั้นแฟร์ๆ ไปเลย ไม่ต้องเหมาจ่ายให้สิ้นเปลือง เพียงเลือกลดความคุ้มครองตามที่เราต้องการราคาเบี้ยประกันของเราก็จะลดลงด้วย

3. ขับขี่ปลอดภัยไม่ต้องจ่ายแพง
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีพฤติกรรมการขับรถปลอดภัย สบายใจได้เลย ในส่วนนี้เขามีการนำมาพิจารณาเพื่อคำนวณเบี้ยประกันรถยนต์ ทำให้เราได้เบี้ยประกันในราคาที่ถูกกว่าเบี้ยประกันของคนที่มีพฤติกรรมการขับรถแบบเสี่ยงๆ อีกนะ

4. ชำระเงินผ่านช่องทางที่สะดวก
สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลา สามารถเลือกจ่ายเงินผ่านทางออนไลน์ หรือเคาน์เตอร์เซอร์วิสได้เลยตามสบาย ถ้าเดินผ่าน 7-Eleven แถวบ้านแล้วจะแวะจ่ายค่าประกันด้วยก็ยังได้ ชิลสุดๆ วิธีแบบนี้เป็นการช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ที่ทำให้เราได้เบี้ยประกันในราคาที่ถูกลงอีกทางด้วย



Cr. sanook.com

ติดตามบทความดีๆ และ click like เพื่อสนับสนุนเราได้ทาง www.facebook.com/ruxalaiyont

สนับสนุนบทความดีๆ โดย รักษ์อะไหล่ยนต์ (Ruxalaiyont Limited Partnership)



Offline ruxalaiyont

  • น้องใหม่ในยุทธจักร
  • *
    • Posts: 43
"เกียร์ออโต้ อันตรายจริงหรือ???" หลายคนอาจสงสัยเพราะอุบัติเหตหลายๆครั้ง ที่ admin ได้ไปอ่านมา ส่วนนึงเพราะความประมาท ที่เกิดขึ้นกับการใช้งานเกียร์ออกโต้

หากใครติดตามข่าวสารตามสื่อต่างๆ ก็คงพอจะพบเห็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดในการใช้รถยนต์อยู่เป็นระยะๆ ซึ่งหลายครั้งส่งผลถึงแก่ชีวิต... และแทบทุกครั้งมักเกิดกับรถยนต์ ′เกียร์อัตโนมัติ′ จนเกิดคำถามตามมาว่า เกียร์อัตโนมัติแท้จริงแล้ว อันตรายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? แล้วจะมีวิธีป้องกันไม่ให้โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นกับตัวเราและคนที่เรารักได้อย่างไร

ข้อดีของเกียร์ธรรมดาอย่างหนึ่งที่ไม่มีวันได้พบเจอในเกียร์ออโต้ในแง่ของความปลอดภัย (แม้จะเป็นข้อเสียสำหรับมือใหม่ก็ตามที) ก็คือ หากผู้ขับปล่อยคลัทช์ไม่สัมพันธ์กับคันเร่งในช่วงออกตัว จะทำให้เครื่องยนต์ดับทันที จึงตัดปัญหาการเข้าเกียร์ผิดหรือเหยียบคันเร่งโดยไม่ตั้งใจออกไปได้

ต่างกับเกียร์ออโต้ที่เมื่อเข้าเกียร์ ′D′ (หรือเกียร์ ′R′) แล้ว รถจะมีแรงเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเรื่อยๆแม้ไม่เหยียบคันเร่ง ซึ่งหากผู้ขับอยู่ในอารามตกใจ ก็อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงตามมาได้เสมอ
ดังนั้น เมื่อจะใช้รถยนต์เกียร์อัตโนมัติแล้ว อย่าลืมปฏิบัติดังนี้เพื่อความปลอดภัย
- ควรเหยียบเบรกทุกครั้งเมื่อเปลี่ยนเกียร์ แม้จะเลื่อนจากเกียร์ว่าง (N) ไปเกียร์เดินหน้า (D) หรือกลับกันก็ตาม ทั้งนี้ เพื่อฝึกให้กลายเป็นความเคยชิน
- เมื่อเข้าที่จอดรถเสร็จเรียบร้อยทุกครั้ง ควรเปลี่ยนเป็นเกียร์จอด (P) หรือ เกียร์ว่าง (N) ทันที ไม่ควรใส่เกียร์ทิ้งเอาไว้
- ควรใส่เบรกมือทุกครั้งที่จอดรถเสร็จเรียบร้อย เพราะนอกจากจะลดภาระเกียร์ในการแบกรับน้ำหนักรถ (โดยเฉพาะบนทางลาดชัน) ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยหากเผลอใส่เกียร์โดยไม่ตั้งใจขึ้นมาจริงๆ
- การจอดรถรับ-ส่งผู้โดยสารทุกครั้ง เป็นไปได้ควรเข้าเกียร์ว่าง (N) เป็นอย่างน้อย รอจนกว่าผู้โดยสารจะปิดประตูเรียบร้อยเสียก่อน จึงค่อยใส่เกียร์ เนื่องจากผู้ขับอาจเผลอปล่อยเบรกในจังหวะก้มหยิบของ หรือเอี้ยวตัวไปด้านหลัง จนเป็นอันตรายกับผู้โดยสารที่กำลังขึ้น-ลงได้
- ไม่ควรทำหลายสิ่งพร้อมๆกันในขณะขับรถ เช่น คุยโทรศัพท์, แต่งหน้า, ทานอาหาร ฯลฯ หากติดพันกับสายโทรศัพท์มาก่อนหน้านี้ ก็ควรสนทนาให้จบเสียก่อนจะเริ่มออกรถ

แต่ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาจริงๆ ผู้ขับควรรีบตั้งสติแล้วปล่อยคันเร่ง เหยียบเบรคทันที แล้วอย่าลืมว่ายังมีตัวช่วยอื่นๆเพื่อให้รถหยุดหรือชะลอความเร็วลงได้ นั่นคือ การผลักไปคันเกียร์ไปเกียร์ว่าง (N), การดึงเบรกมือ รวมถึงการบิดกุญแจเพื่อดับเครื่องยนต์ แต่อย่างหลังนี้ขอให้เป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะจะทำให้หม้อลมเบรกใช้งานไม่ได้ ส่งผลให้มีโอกาสเหยียบได้เพียง 1-2 ครั้งเท่านั้น

อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญที่สุดเมื่ออยู่หลังพวงมาลัยทุกครั้ง นั่นคือ ′สติ′ ที่จะช่วยให้เดินทางถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัยนั่นเอง



Cr. matichon, thairath

ติดตามบทความดีๆ และ click like เพื่อสนับสนุนเราได้ทาง www.facebook.com/ruxalaiyont

สนับสนุนบทความดีๆ โดย รักษ์อะไหล่ยนต์ (Ruxalaiyont Limited Partnership)



Offline ruxalaiyont

  • น้องใหม่ในยุทธจักร
  • *
    • Posts: 43
      นํ้ามันเบรก เป็นสิ่งสำคัญที่เพื่อนๆ หลายคนอาจมองข้ามกันไป ปัจจุบันมีขายอยู่ทั่วไป คุณภาพในแต่ละยี่ห้อใกล้เคียงกัน อยู่ที่ว่าต้องการยี่ห้อไหนหรืออาจใช้ตามมาตรฐานของคู่มือรถที่ให้มาก็ได้ นับว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด
      การตรวจสอบน้ำมันเบรก ควรตรวจสอบให้อยู่ในระดับพอดีเสมอ หากปล่อยให้น้ำมันเบรกแห้งหรือรั่วไหลออกไป จนหมดหรือเหลือน้อย การเบรกอาจไม่มีประสิทธิภาพทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
       
     ขั้นตอนการเติมน้ำมันเบรก

     1.เปิดฝากระโปรงรถยนต์

     2.ถ้วยน้ำมันเบรกจะติดอยู่บริเวณชิดกับตัวถังรถในส่วนที่ติดกับกระจกให้เช็กระดับของน้ำมันเบรกในถ้วยว่าอยู่ในระดับไหน ถ้าระดับน้ำมันเบรกอยู่ MAX ไม่ต้องเติมน้ำมันเบรก MIN ต้องเติมน้ำมันเบรกให้ถึงเส้น MAX ห้ามเติมน้ำมันเบรกเกินระดับ MAX เพราะจะทำให้น้ำมันเบรกกระฉอกเวลารถวิ่ง น้ำมันเบรกจะทำปฏิกิริยากับสีรถหรือบริเวณใกล้เคียงให้เสียหายได้

     3.ก่อนเปิดฝาน้ำมันเบรกให้เช็ดทำความสะอาดบริเวณฝาปิด-เปิดให้สะอาดเพื่อป้องกันเม็ดทรายหรือละอองต่างๆตกลงไปอาจทำใหระบบเบรกเสียหายได้

     4.เติมน้ำมันเบรกลงไปในถ้วยตามระดับในข้อที่ 2

     5.ปิดฝาให้เรียบร้อย อย่าลืมก่อนปิดฝาต้องทำความสะอาดบริเวณฝาปิดถ้วยน้ำมันเบรกด้วย

     มีรถยนต์รุ่นเก่าบางรุ่น ถ้วยน้ำมันเบรกจะติดอยู่บริเวณหัวเก๋งด้านคนขับก็ใช้วิธีการเติมแบบเดียวกัน

     น้ำมันเบรกควรจะมีการเช็กถึงคุณสมบัติ เมื่อรถยนต์วิ่งได้ประมาณ 10,000 กิโลเมตร และเช็กทุก 10,000 กิโลเมตร จนถึง 40,000 กิโลเมตร จึงถ่ายน้ำมันเบรกเก่าออกแล้วเติมน้ำมันเบรกใหม่ลงไปแทนที่



Cr. sanook.com

ติดตามบทความดีๆ และ click like เพื่อสนับสนุนเราได้ทาง www.facebook.com/ruxalaiyont

สนับสนุนบทความดีๆ โดย รักษ์อะไหล่ยนต์ (Ruxalaiyont Limited Partnership)



Offline ruxalaiyont

  • น้องใหม่ในยุทธจักร
  • *
    • Posts: 43
admin ได้ไปเจอบทความ 7 สัญญาณ ที่บ่งบอกว่า รถของคุณนั้นอาจมีปัญหา มีอะไรกันบ้าง เรามาดูกันเลย smile emoticon

1.สตาร์ทเครื่องนานกว่าปกติ ทันทีที่เราขึ้นรถแล้วบิดกุญแจเชื่อหรือไม่ครับว่า แม้แต่เสียงสตาร์ทนั้นยังบอกความเป็นสุขของรถท่านได้ โดยปกติแล้วการสตาร์ทเครื่องยนต์นั้นจะใช้การถีบตัวไม่เกิน 3 ครั้งใช้เวลาไม่เกิน 30 วินาที ถ้านานกว่านั้นแสดงว่ารถเริ่มมีปัญหา ซึ่งโดยปกติ หมายถึงแบตเตอร์รี่อาจจะเริ่มเสื่อมสภาพ ยิ่งถ้ารถคุณ 2-3 เมื่อไรแล้วสตาร์ทช้า เตรียมเงินถอยแบตเตอร์รี่ลูกใหม่ได้เลย
2. ร่องรอยน้ำมัน บางครั้งเมื่อคุณจอดรถแล้วพบรอยน้ำมันหยดเป็นทางนั้น หรือเป็นจุดนั้นอย่าวางใจโดยเด็ดขาด เพราะตามปกติแล้วน้ำมันจะไม่สามารถหยดได้เอง นอกจากเกิดความเสียหายต่อระบบนั้นๆ ซึ่งหมายถึงต้องมีอะไรผิดปกติแล้ว ดังนั้นถ้าพบข้อนี้รีบตรวจสอบด่วน
3.เสียงที่ผิดปกติ ในหัวข้อนี้อาจจะเป็นเรื่องที่ยากในการสังเกตในระหว่างขับรถแต่คุณสามารถสังเกตได้เมื่อรถจอดหรือเดินเบาเครื่องยนต์ก่อนขับออกถนน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการทำงานของเครื่องยนต์จะไม่มีเสียงผิดแปลก โดยเฉพาะ**เสียงเหล็กกระทบกัน หรือทางศัพท์ช่าง เรียกว่า "เสียงน๊อก" (Knocking) ซึ่งหากท่านได้ยินเสียงดังกล่าว และไม่เคยได้ยินมาก่อนนั้น ให้รีบไปหาผู้เชี่ยวชาญทันที แต่ทางที่ดีอันนี้อยากแนะนำบันทึกเสียงนั้นไว้ก่อน โดยอาจจะถ่ายคลิป เพื่อใช้ประกอบในการอธิบายปัญหา
4.ควันขาวออกท่อ จงจำไว้ว่ารถที่ดีนั้นต้องไม่มีควันขาว และเมื่อไรก็ตามที่รถของท่านมีอาการควันสีขาวออกท่อ พร้อมกลิ่นฉุน นั่นหมายถึงต้องมีสิ่งที่ผิดปกติกับระบบเครื่องยนต์ ซึ่งหากชี้ชัดไปนั้นมันจะมีหลายอาการมาก แต่เอาเป็นว่าถ้าเห็นแล้วรับหาช่างจะดีกว่านะ
5.ขับรถแล้วดูนุ่มนวลผิดกว่าปกติ บางครั้งที่คุณขับรถนั้นเวลาขับสังเกตดีๆว่ารถเรานิ่มนวลผิดปกติไปหรือไม่จากที่เคยใช้มา ถ้าคำตอบคือ "ใช่" แสดงว่ารถคุณมีความเป็นไปได้ใน 2 ทาง คือ 1 ลมยางอ่อน บางครั้งอาจจะหมายถึงยางรั่ว กับ 2 ระบบช่วงล่างบางชิ้นเสื่อมสภาพ โดยมากคือสปริง หรือโช๊ค
6.เสียง จี๊ดๆ ตอนเบรก ในข้อนี้หลายคนอาจจะบอกว่ามันเป็นอย่างไร แต่เอาเป็นว่าเมื่อคุณกดเบรกแล้ว ได้ยินเหมือนเสียงหนูร้องเพรียกอยู่ในรถ อาจจะด้านหน้า หรือ ด้านหลัง ซึ่งข้อนี้หมายถึงผ้าเบรกที่กำลังหมดอายุการใช้งาน ถ้าได้ยินแล้วอย่ารอช้า รีบหาเวลาไปเปลี่ยนผ้าเบรกก่อนที่มันจะทำความเสียหายต่อชุดจานเบรก
7.รถเร่งแล้วอืดกว่าเดิม ถ้าเมื่อไรรถคุณเร่งแล้วรู้สึกว่าไม่พุ่งเหมือนเดิมนั้น แต่ไม่มีความผิดปกติอย่างอื่นเช่นรอยน้ำมัน นั่นหมายถึงรถคุณนั้น อาจจะต้องการการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องแล้ว แต่หากถ่ายมาแล้วและยังวิ่งอืดอยู่ ก็จะมีอีก 2 ตัว คือ 1.กรองน้ำมันเชื้อเพลิง และ 2 กรองอากาศ ซึ่งอาการรถมีอัตราเร่งถอยนี้มีผลโดยตรงต่ออัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงครับ

ทั้ง 7 ข้อนี้เป็นสิ่งที่คุณจะพอสามารถสังเกตในระหว่างการขับขี่หรือใช้งานโดยทั่วไป ซึ่งทันทีที่คุณพบอาการต่างๆเหล่านี้ จงอย่าวางใจรับไปพบผู้เชี่ยวชาญหรือเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจสอบหาปัญหาโดยทันที



Cr. sanook.com

ติดตามบทความดีๆ และ click like เพื่อสนับสนุนเราได้ทาง www.facebook.com/ruxalaiyont

สนับสนุนบทความดีๆ โดย รักษ์อะไหล่ยนต์ (Ruxalaiyont Limited Partnership)



Offline ruxalaiyont

  • น้องใหม่ในยุทธจักร
  • *
    • Posts: 43
วันนี้ admin มีคำแนะนำวิธีการเติมนํ้ามันให้ประหยัดเงิน มาฝากเพื่อนๆกัน ในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ ^^

1.) เติมน้ำมันขณะที่อุณหภูมิบนพื้นดินยังเย็นอยู่ ช่วงหลัง 4 ทุ่ม หรือก่อน 9 โมงเช้า อย่าลืมว่าปั๊มน้ำมันทุกแห่งมีถังน้ำมันฝั่งอยู่ใต้ดิน เมื่อพื้นดินยิ่งเย็นน้ำมันยิ่งควบแน่น เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น น้ำมันก็จะขยายตัวตามดังนั้น หากเติมน้ำมันช่วงบ่ายหรือเย็น ที่ขณะพื้นดินสะสมความร้อนไว้จะส่งผลให้น้ำมันมีการขยายตัว นั่นก็คือคุณจ่ายค่าน้ำมัน เพิ่มขึ้นนั่นเอง

2.) ไม่ควรเติมน้ำมันเต็มถัง เติมน้ำมันแค่หัวจ่ายตัดพอแล้ว เหตุผลคือ น้ำมันบรรจุในถังยิ่งมาก เนื้อที่ว่างสำหรับไอระเหยก็ยิ่งน้อย ถ้าเติมจนเต็มปรี่ แล้วอากาศบ้านเรา+กับความร้อนของรถยนต์ขณะเดินเครื่อง จะส่งผลให้น้ำมันจะขยายตัวระเหยทิ้งที่รูระบายได้

3.) หากทำได้ขณะเติมน้ำมัน อย่าให้เด็กปั๊มตั้งหัวฉีดอยู่ในตำแหน่งไหลเร็ว หัวฉีดจ่ายน้ำมันจะมีอยู่ 3 ระดับ low, middle, และ hight หากตั้งในระดับไหลเร็ว น้ำมันบางส่วนจะกลายเป็นไอระเหย และ อีกบางส่วนมีโอกาสถูกสูบย้อนกลับไปยังถังใต้ดิน ในทางกลับกัน การตั้งหัวจ่ายน้ำมันที่ระดับไหลช้า จะเกิดไอระเหยของน้ำมันน้อยที่สุดอีกด้วย

4.) สุดท้ายไม่ควรเติมน้ำมันขณะที่รถบรรทุกน้ำมันกำลังถ่ายน้ำมันเข้าสู่ถังเก็บใต้ดิน เพราะช่วงนั้นสิ่งแปลกปลอมที่ตกตะกอนอยู่ใต้ถัง จะถูกปั่นป่วนจนลอยตัว หากเติมน้ำมันเข้าไปอาจมีโอกาสดูดเอาสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่รถได้



Cr. car4th

ติดตามบทความดีๆ และ click like เพื่อสนับสนุนเราได้ทาง www.facebook.com/ruxalaiyont

สนับสนุนบทความดีๆ โดย รักษ์อะไหล่ยนต์ (Ruxalaiyont Limited Partnership)
www.ruxalaiyont.com



Offline ruxalaiyont

  • น้องใหม่ในยุทธจักร
  • *
    • Posts: 43
วันนี้ admin ได้ไปเจอบทความ การเติมลมยาง มีผลกับยางมากกว่าที่คุณคิด ซึ่งทำให้เปลี่ยนความคิดของ admin จากที่คิดว่าลมยางไม่ได้สำคัญมากขนาดนั้น มาเป็น สิ่งที่เราต้องใส่ใจ ดูแล มากขึ้น
การเติมลมยางนั้นมีผลกับยางอย่างยิ่ง การให้ลมยางจนความดันยางนั้นสูงหรือต่ำกว่ามาตรฐานจะทำให้เกิดอันตรายทั้งสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง และมีผลต่ออายุการใช้งานของยางรถยนต์ การใช้ลมยางที่ไม่เหมาะสมนั้นจะมีผล ต่อการขับขี่รถยนต์ การที่ยางรถยนต์จะตะกุยไปข้างหน้า หรือเบรกรถยนต์ก็มีผล ความดันยางที่ต่ำกว่ามาตรฐาน จะทำให้โครงสร้างของยางรถยนต์นั้นยุบตัวมากกว่าปกติที่ยางรถยนต์ควรจะเป็น ซึ่งจะทำให้เมื่อขับขี่รถยนต์นั้นยางรถจะมีความร้อนสูงขึ้น แรงต้านทานการหมุนของล้อเพิ่มขึ้น การหมุนของพวงมาลัยยากขึ้น และทำให้ล้อนั้นต้องสึกหรือมีอายุการใช้งานที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น การสึกของยางที่เติมลมยางน้อยเกินไปยางจะเกิดการสึกบริเวณไหล่ยาง และแก้มยางนั้นทำงานหนักเกินไปทำให้สึกหรอได้ง่าย และเมื่อความดันลมยางสูงกว่ามาตรฐาน จะส่งผลต่ออายุการใช้งานเช่นกันและทำให้การขับขี่นั้นเป็นอันตรายเพราะยางรถ ยนต์นั้นยึดติดถนนลดลง และอาจเกิดระเบิดได้ง่าย ซึ่งจะมีผลต่อการสึกหรอของช่วงล่างรถยนต์
เติมลมตามสเปคของรถที่กำหนด โดยศึกษาได้จากคู่มือของรถนั้นๆ ส่วนมากจะอยู่ที่ด้านข้างของประตูรถยนต์
เวลาเติมลมยางควรเติมตอนยางไม่ร้อนเกินไป เพราะจะทำให้ค่าที่ได้จากการวัดแรงดันผิดเพี้ยน เพราะเมื่อยางร้อน จะทำให้แรงดันในยางสูงเกินกว่าปกติจากอากาศในยางที่ร้อนและขยายตัว
หากต้องการวิ่งทางไกล นานๆ ควรเพิ่มลมยางอีกประมาณ 3 - 5 PSI ( ปอนด์/ตร.นิ้ว )
ควรเช็คลมยางเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ถ้าลมยางรั่วซึมมากกว่าปกติ ควรเข้าร้านเพื่อหาจุดรั่วซึมของยาง
ความดันลมยาง สำหรับรถเก๋งและรถกระบะ
แรงดันสูงสุด ไม่ควรเกิน 36 PSI ( ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ) ซึ่งทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับขนาดยาง ขนาดรถ และประเภทของรถนั้นๆ ด้วย เช่น
การเติมลมล้อ ของรถเก๋งขนาดเล็ก ความดันลมยาง ประมาณ 25 - 30 PSI
การเติมลมล้อ รถเก๋งขนาดกลางถึงใหญ่ ความดันลมยาง ประมาณ 30 - 35 PSI
การเติมลมยาง สำหรับรถกระบะ ความดันลมยาง ไม่ควรเกิน 65 PSI
การเติมลมยางนั่นไม่ควรเติมให้น้อย หรือมาก กว่าที่กำหนด นอกจากจะใช้งานในสถาวะที่ผิดไปจากการใช้งานปกติ เช่น รถที่บรรทุกเยอะๆควรเติมให้มากกว่าปกติ หรือ รถoff road ที่จะเข้าไปลุยในป่าก็ควรให้ลมยางอ่อน เพราะยางจะได้สัมผัสกับพื้นดินที่ขรุขระ หรือสามารถปีนก้อนหินได้ง่ายขึ้น
แต่ในสถาวะทั่วไป การเติมลมยางให้อ่อน หรือแข็งกว่าที่ควรจะเป็นนั้น เป็นการทำให้ดอกยางรถยนต์ของท่านหมดลงไปแบบไม่เสมอทั้งหน้ายางก่อนที่ยางจะหมดอายุ และการเติมลมที่แข็งเกินไปยังเสี่ยงต่อการที่ยางระเบิดอีกด้วย



Cr. Railway, Deestone

ติดตามบทความดีๆ และ click like เพื่อสนับสนุนเราได้ทาง www.facebook.com/ruxalaiyont

พบกับ Ruxalaiyont.com โฉมใหม่ได้ทาง www.ruxalaiyont.com

สนับสนุนบทความดีๆ โดย รักษ์อะไหล่ยนต์ (Ruxalaiyont Limited Partnership)



Offline ruxalaiyont

  • น้องใหม่ในยุทธจักร
  • *
    • Posts: 43
เรื่องธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา ที่ admin ไปเจอมาตอนติดไฟแดงคือ เราควรเข้าเกียร์ D หรือ เกียร์ N ที่ช่วยถนอมเครื่องยนต์ของรถเราให้ใช้ยาวนานยิ่งขึ้น.... วันนี้ admin มาพร้อมคำตอบ

1.) ในกรณีของรถยนต์ เครื่องยนต์สันดาปล้วน
เริ่มแรกถามว่าควรเข้าเกียร์ D หรือ N นั้นอยากให้ดูตามสถานการณ์ของจราจรเป็นเกณฑ์ ถ้ารถติดเกิน 1 นาทีเป็นต้นไปควรอย่างยิ่งที่จะเข้าเกียร์ N
เพราะหากการเข้าเกียร์ D แล้วเหยียบเบรกทิ้งไว้ ระบบส่งกำลังของเกียร์ (Torque Converters) ก็จะทำงานอยู่ในรอบเดินเบา แล้วเราเหยียบเบรกห้ามไว้ ส่วนเรื่องการสึกหรอนั้นไม่มีข้อมูลที่ยืนยัน แต่หากคิดตามหลักการแล้วอาจจะมีบ้างแต่น้อยมาก ๆ แต่ที่มีปัญหาแน่นอนและเด่นชัดคือรถคุณจะกินน้ำมันเชื้อเพลงมากกว่าเดิม และไม่ได้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อขาเลย
แต่ทั้งนี้หากรถติดเพียงเล็กน้อยก็ไม่จำเป็นต้อง N เสมอไป เพราะคุณจะมาสับเกียร์ทุกครั้งที่เจอไฟแดง จะทำให้กลไกชุดลิ้งค์การเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ รวมถึงพวกชิ้นส่วนที่มีการเคลื่อนที่บริเวณคันเกียร์ มีการใช้งานมากกว่าปกติ และทำให้แรงดันน้ำมันเกียร์เปลี่ยนแปลงบ่อย

2.) ในกรณีของรถยนต์ เครื่องยนต์ระบบไฮบริด
สำหรับกรณีรถไฮบริดนั้นมีความแตกต่างออกไป คือถ้าใส่เกียร์ N ไว้ กระบวนการชาร์จไฟจากมอเตอร์เข้าแบตเตอรี่จะไม่ทำงาน (เป็นข้อมูลเฉพาะรถยนต์ของโตโยต้า) เพราะฉะนั้นก็ควรใส่เกียร์ D ไว้เมื่อต้องการชาร์จไฟแบตเตอรี่ หรือถ้าอยากพักเท้าในการเหยียบเบรกจริง ๆ ให้โยกคันเกียร์ไปที่ P เลยจะดีกว่าเพราะระบบชาร์จไฟจะทำงาน
ทั้งนี้ช่วงการจอดรถติดไฟแดงให้ปลอดภัยเข้า เมื่อเข้าเกียร์ N ก็ควรใช้เบรกมือร่วมด้วย หรือหากคุณเข้าเกียร์ P แล้วโดนชนอาจจะทำให้รถเกียร์เสียทั้งชุด แต่ตามกฎหมายแล้วคุณสามารถฟ้องร้องคู่กรณีที่ชนท้ายให้จ่ายค่าเสียหายได้ทั้งหมด รวมถึงพ้นข้อหาประมาทหากรถไหลไปชนคันหน้าอีกต่อ เพราะสามารถยื่นหลักฐานให้แก่ศาลได้ว่าคุณไม่ได้ประมาทเข้าเกียร์จอดและห้ามรถเต็มที่จนเกียร์พัง



Cr. kapook.com

ติดตามบทความดีๆ และ click like เพื่อสนับสนุนเราได้ทาง www.facebook.com/ruxalaiyont

พบกับ Ruxalaiyont.com โฉมใหม่ได้ทาง www.ruxalaiyont.com

สนับสนุนบทความดีๆ โดย รักษ์อะไหล่ยนต์ (Ruxalaiyont Limited Partnership)



Offline ruxalaiyont

  • น้องใหม่ในยุทธจักร
  • *
    • Posts: 43
ในสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว และฝนพร้อมที่จะตกได้ทุกเมื่อ วันนี้ admin เลยไปค้นคว้ามาว่า ถ้าฝนตกหนักๆ และเกิดนํ้าท่วม รถของเราจะลุยนํ้าท่วมได้แค่ไหน ถึงปลอดภัย.... admin ได้หาคำตอบมาแล้วค่ะ

- รถเก๋งเล็ก (รถเก๋งทั่วไป, รถอีโค่คาร์, รถ MPV) ระดับต่ำสุดจากพื้นเฉลี่ย 14.5 เซนติเมตร ท่อไอเสียมีความสูงประมาณ 18 ซม. สามารถลุยน้ำท่วมได้ตั้งแต่ 10-30 เซนติเมตร หากวัดแบบคร่าว ๆ จะสายตาคือ ตาตุ่มถึงกลางหน้าแข้ง

- รถกระบะกระบะเตี้ย, กระบะขนของ ระดับต่ำสุดจากพื้นเฉลี่ย 18 เซนติเมตร ท่อไอเสียมีความสูงประมาณ 21 ซม. สามารถลุยน้ำท่วมได้ตั้งแต่ 10-40 เซนติเมตร หากวัดแบบคร่าว ๆ จะสายตาคือ ตาตุ่มถึงหัวเข่า

- รถกระบะยกสูง ระดับต่ำสุดจากพื้นเฉลี่ย 22 เซนติเมตร
ท่อไอเสียมีความสูงประมาณ 25 ซม. สามารถลุยน้ำท่วมได้ตั้งแต่ 10-50 เซนติเมตร หากวัดแบบคร่าว ๆ จะสายตาคือ ตาตุ่มถึงต้นขา

- รถอเนกประสงค์ (Mini SUV, SUV, PPV) ระดับต่ำสุดจากพื้นเฉลี่ย 22 เซนติเมตร ซึ่งส่วนใหญ่ก็ออกมาเคลมกันเลยว่าลุยน้ำท่วมได้ 50 เซนติเมตร เพราะว่าสูงก็ไล่เลี่ยระดับกระบะยกสูง

จากข้อมูลสรุปแล้วรถยนต์ทั่วไปไม่ควรจะลุยน้ำระดับความสูงเกิน 50 เซนติเมตเพราะจะมีความสูงถึงห้องเครื่องยนต์ แถมคลื่นของน้ำที่จะกระทบ ที่สำคัญเราไม่สามารถมองเห็นหลุม-บ่อที่อยู่ใต้น้ำได้เลย หากมีเหตุต้องฝ่าน้ำท่วมจริง ๆ ควรเหยียบคันเร่งหน่วงไว้แล้วไปช้า ๆ เพื่อให้ท่อไอเสียได้ดันน้ำออกไปไม่ปิดท่อ



Cr. kapook.com

ติดตามบทความดีๆ และ click like เพื่อสนับสนุนเราได้ทาง www.facebook.com/ruxalaiyont

พบกับ Ruxalaiyont.com โฉมใหม่ได้ทาง www.ruxalaiyont.com

สนับสนุนบทความดีๆ โดย รักษ์อะไหล่ยนต์ (Ruxalaiyont Limited Partnership)



Offline ruxalaiyont

  • น้องใหม่ในยุทธจักร
  • *
    • Posts: 43
วันนี้ admin มีเรื่องมาแชร์ให้เพื่อนๆ ที่จะขับขี่ขึ้นเขา-ลงเขา ขับอย่างไรให้ปลอดภัย

เริ่มจากการใช้เกียร์ต่ำ ปรับเปลี่ยนเกียร์ เมื่อรถเสียกำลัง อย่าลากเกียร์จนหมดแรงส่ง ถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติ ให้ใช้เกียร์ 2 ในการขับขึ้นเขาลงเขา และเปลี่ยนไปใช้เกียร์ D บ้าง เมื่อรถอยู่ในทางราบ การขับให้ใช้เกียร์ช่วยตลอดทางเกียร์อัตโนมัติไม่พังง่ายๆ
ขณะที่ เมื่อขับลงเขาที่ลาดชันมากและยาวไกล ก่อนเข้าโค้งให้เปลี่ยนเกียร์จากตำแหน่ง D มา 2 ถ้า 2 ยังเอาไม่อยู่ให้เปลี่ยนมา L แต่อย่าเปลี่ยนเกียร์ขณะฝนตกทางลื่นรถจะเสียการทรงตัว การใช้เกียร์แต่ละเกียร์ควรดูสภาพทางเป็นหลักในการพิจารณา
ส่วนเกียร์ธรรมดาการทำงานจะง่ายกว่า มีเกียร์ให้เล่น 5 ตำแหน่ง และมีคลัทช์ช่วยในการส่งกำลังไปยังล้อตามที่เราต้องการได้ทุกขณะ แต่เกียร์อัตโนมัติบางรุ่นจะทำงานไม่ได้อย่างที่เราต้องการ เพราะฉะนั้นควรประเมินสภาพทางก่อนใช้เกียร์ดีที่สุด

ส่วนการขับเข้าโค้งธรรมดาหรือบนภูเขา ควรมองให้ไกลให้ลึกและให้คนนั่งข้างช่วยดูสภาพทางด้วย เมื่อแน่ใจว่าไม่มีรถสวนมาให้ใช้วิธีตัดโค้งวิธีนี้จะช่วยให้รถทรงตัวดี, เข้าโค้งได้เร็ว, รถไม่ใช้กำลังมาก ลูกปืนล้อไม่ทำงานหนัก, ยางก็ไม่ล้มตัวมาก หน้ายางจะสัมผัสผิวถนนได้มากตามไปด้วย แต่ต้องแน่ใจว่าไม่มีรถสวนมา สมมติจะเข้าโค้งขวาก่อนเข้าโค้งให้ถอนคันเร่งลง หักพวงมาลัยไปทางซ้ายนิดหนึ่ง แล้วหักพวงมาลัยมาทางขวาเพื่อทำโค้งให้กว้างขึ้น ใช้พื้นที่ถนนทุกตารางนิ้ว ถ้ารถจะเลี้ยวซ้ายก็ให้เลี้ยวทางขวานิดหนึ่งแล้วเลี้ยวซ้าย การฝึกใหม่จะรู้สึกฝืนความรู้สึกบ้าง ถ้าขับชำนาญแล้วก็จะชินไปเอง

ข้อควรระวัง
1.ขณะขับรถขึ้นทางชันหรือขึ้นเขาควรเร่งความเร็วให้สม่ำเสมอเพิ่มกำลังเครื่องยนต์อย่างนุ่มนวลแต่อย่าเร่งเครื่องยนต์อย่างรุนแรง เพราะนอกจากความเร็วจะไม่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันไปโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วย
2. อย่าใช้เกียร์ว่างในขณะลงเนินชัน หรือลงเขาโดยเด็ดขาด!! เพราะจะทำให้รถไหลลงด้วยความเร็วสูง โดยไม่มีแรงหน่วงของเครื่องยนต์ อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงขึ้นได้ ดังนั้นจึงควรใช้เกียร์ต่ำ และค่อยๆปล่อยรถให้ไหลลงเนินตามรอบเครื่องยนต์ และอย่าลืมควบคุมความเร็วของรถให้สัมพันธ์กับเกียร์ ด้วย
3. ควรใช้เกียร์ต่ำ คือเกียร์ 1 หรือ เกียร์ 2 (เกียร์อัตโนมัติคือ L)ในขณะขับรถขึ้นเขา เพราะถ้าใช้เกียร์ที่สูง อย่างเช่นเกียร์ 3, 4 หรือ 5 จะทำให้เครื่องยนต์ไม่มีกำลังและแรงฉุดมากพอที่จะเคลื่อนที่ขึ้นเนินเขา นอกจากนี้ยังเป็นการผลาญน้ำมันโดยไม่จำเป็นอีกด้วย



Cr. sanook.com

ติดตามบทความดีๆ และ click like เพื่อสนับสนุนเราได้ทาง www.facebook.com/ruxalaiyont

พบกับ Ruxalaiyont.com โฉมใหม่ได้ทาง www.ruxalaiyont.com

สั่งอะไหล่โทร: 02-221-7756, 02-223-9944, 02-225-2758, 02-685-4522 Fax: 02-225-2759

สนับสนุนบทความดีๆ โดย รักษ์อะไหล่ยนต์ (Ruxalaiyont Limited Partnership)



Offline ruxalaiyont

  • น้องใหม่ในยุทธจักร
  • *
    • Posts: 43
หลายๆคนเจออุบัติเหตบนท้องถนน อาจจะเกิดคำถามขึ้นมาในหัวว่า "ควรเคลม หรือ ไม่เคลมประกันดี" "แบบไหนคุ้มกว่ากัน" วันนี้ admin มีคำตอบมาให้ :)

 “อุบัติเหตุ” เกิดขึ้นโดยที่คุณไม่เคยคาดคิด... ถ้าโชคร้ายรถเสียหายมากถึงขนาดที่ซ่อมยังไงก็ไม่คุ้มก็ต้องทำใจขายรถทิ้งไป แต่ถ้าโชคดีหน่อยรถเสียหายไม่มากพอจะซ่อมหรือเปลี่ยนอะไหล่ได้คุณก็มีทางเลือกที่จะเอารถไปซ่อม 2 นั่นคือ เคลมประกันหรือซ่อมเอง

แต่เคลมแบบไหนคุ้มกว่ากัน? ต้องลองทำ 4 Checklist ต่อไปนี้

Check 1:  ใครเป็นฝ่ายผิด

      หลังเกิดอุบัติเหตุให้พิจารณาเบื้องต้นว่าใครเป็นฝ่ายผิดและมีคู่กรณีหรือไม่ เพราะถ้าคุณเป็นฝ่ายถูกและมีคู่กรณีจะสามารถเคลมประกันได้ทันทีโดยที่คุณไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมใดๆ แต่ถ้าคุณไม่แน่ใจว่าฝ่ายไหนผิดควรรอเจ้าหน้าที่ให้มาช่วยตัดสิน เพราะคุณเป็นฝ่ายผิดจริงๆ อาจมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่คุณต้องพิจารณาใน Checklist ข้อต่อไป...

Check 2: ประเมินค่าใช้จ่าย

      ส่วนสำคัญที่จะทำให้คุณตัดสินใจว่าจะเคลมหรือไม่เคลมคือการประเมินค่าใช้จ่ายว่าสุดท้ายแล้ว คุณจ่ายเองคุ้มกว่าเคลมประกันหรือไม่ โดยอาจประเมินจากค่าอะไหล่ที่เสียหายอย่างคร่าวๆ

Check 3:  ค่าเสียหายส่วนแรก (Deduct ) เท่าไร

      ค่าเสียหายส่วนแรก (Deduct) เป็นค่าใช้จ่ายที่คุณตกลงจะรับผิดชอบเองตั้งแต่ 1,000 - 5,000 บาทกรณีเกิดความเสียหายเมื่อรถเกิดอุบัติเหตุ (สามารถดูได้ที่กรมธรรม์) แต่จะจ่ายเงินเองก็ต่อเมื่อคุณเป็นฝ่ายผิดหรือไม่มีคู่กรณีเท่านั้น ซึ่งถ้าคุณประเมินค่าความเสียหายแล้วเกินค่าเสียหายส่วนแรกที่คุณระบุไว้ ก็ควรจะเคลมประกันดีกว่า เพราะถ้าซ่อมเองคงไม่คุ้มแน่ๆ

Check 4:  ปีหน้าคุณได้ส่วนลดประวัติดีหรือไม่

      ส่วนลด 20% ถ้าไม่มีการเคลมในปีที่ 1     
      ส่วนลด 30% ถ้าไม่มีการเคลมในปีที่ 2
      ส่วนลด 40% ถ้าไม่มีการเคลมในปีที่ 3
      ส่วนลด 50% ถ้าไม่มีการเคลมในปีที่ 4

      สำหรับใครที่คำนวณบวกลบแล้วว่าไม่ขาดทุนและยืนยันจะเอาส่วนลดประวัติดีก็เตรียมควักเงินจ่ายค่าซ่อมรถเองไปก่อนได้เลย แล้วค่อยรอไปถอนทุนคืนตอนทำประกันในปีหน้า แต่ใครที่อยากจะเปลี่ยนบริษัทประกันภัยใหม่และต้องการซ่อมรถแบบที่ไม่ต้องควักเงินจ่ายเองก็แจ้งประกันส่งรถเคลมได้เลยค่ะ

      เฉลยคำตอบ: ถ้า 1 ในคำตอบของคุณคือ “ไม่คุ้ม” เราขอแนะนำให้คุณนำรถเข้าเคลมบริษัทประกันแทนการจ่ายเงินซ่อมเองน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ





Cr. sanook.com

ติดตามบทความดีๆ และ click like เพื่อสนับสนุนเราได้ทาง www.facebook.com/ruxalaiyont

พบกับ Ruxalaiyont.com โฉมใหม่ได้ทาง www.ruxalaiyont.com

สั่งอะไหล่โทร: 02-221-7756, 02-223-9944, 02-225-2758, 02-685-4522 Fax: 02-225-2759

สนับสนุนบทความดีๆ โดย รักษ์อะไหล่ยนต์ (Ruxalaiyont Limited Partnership)



 





Opel Vauxhall Corsa B Astra Vectra B Omega Kadett Kapitan Olympia C14NZ C12NZ X14XE X16XE X16XEL X18XE X18XE1 X20XEV Z22SE C20NE C20SE C20XE C2OLET X25XE C25XE X30XE imcher stiemetz zifira


รถยนต์ ขับรถ Opel in Thai โอเปิล อิน ไทย สนาม ซ่อม แต่ง คลับ club love lover modify talk host server online network game เกมส์ colocation co-location ล้อ ยาง ช่วงล่าง เครื่อง